Life Style

ยาแก้กรดไหลย้อน 7-11

ยาแก้กรดไหลย้อน 7-11 บรรเทาอาการกรดในกระเพาะอาหารอาหารแบบซองยี่ห้อไหนดี

ยาแก้กรดไหลย้อน 7-11

ยาแก้กรดไหลย้อน หนึ่งในยาสามัญประจำบ้านที่ควรมีไว้ติดในทุกครัวเรือน ตัวช่วยสำคัญสำหรับบรรเทาอาการกดไหลย้อน ไม่สบายท้องจากปัญหามีกรดในกระเพาะเยอะ ในปัจจุบันยาแก้กรดไหลย้อน 7-11 ก็มีจัดจำหน่ายอยู่ด้วยเช่นกัน หากใครที่มีปัญหากรดไหลย้อน กำลังประสบปัญหากรดในกระเพาะเยอะจนนอนไม่หลับ เบลสิด เกิร์ด (Belcid GERD) จาก Biopharm ยาแก้กรดไหลย้อน 7-11 พร้อมจัดจำหน่าย ยาแก้กรดไหลย้อนทานง่าย หาซื้อได้ 24 ชั่วโมง


สารบัญบทความ


Belcid GERD ยาลดกรดในกระเพาะ แก้อาการกรดไหลย้อน

กรดไหลย้อนทานยาอะไรดี นาทีนี้ต้องยาแก้กรดไหลย้อน 7-11 เบลสิด เกิร์ด (Belcid GERD) ผลิตภัณฑ์จาก Biopharm ยาลดกรดในกระเพาะ ยาลดกรดไหลย้อนรสราสเบอรี่ กลิ่นหอม ทานง่าย ทานได้ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ เป็นยาลดอาการกรดไหลย้อนที่จะช่วยสร้างเจลในกระเพาะเพื่อยับยั้งอาการกรดไหลย้อน ด้วยส่วนผสมของสารสำคัญอย่าง

  • Sodium Alginate ที่มีคุณสมบัติลดอาการระคายเคืองจากกรดในกระเพาะอาหาร 
  • Sodium Bicarbonate ช่วยควบคุม และลดกรดในกระเพราะออกฤทธิ์เร็ว และ
  • Calcium Carbonate ช่วยลดอาการแสบร้อนทรวงอก พร้อมลดกรดในกระเพราะไปพร้อม ๆ กัน

ยาแก้กรดไหลย้อนแก้อาการอะไรบ้าง

ยารักษากรดไหลย้อนยาแก้กรดไหลย้อนลดอาการจากโรคกระเพาะ

โรคกระเพาะ หรือโรคกระเพาะอาหารอักเสบ เกิดจากพฤติกรรมการทานอาหารไม่เป็นเวลา หรือทานในปริมาณน้อยมาก ๆ และการทานอาหารอย่างเร่งรีบเกินไป โดยโรคกระเพาะอาหารจะแสดงอาการให้เห็นดังนี้

  • ปวด แสบ ท้องบริเวณกระเพาะอาหาร
  • มีอาการปวดเป็น ๆ หาย ๆ ไม่สบายท้อง
  • รู้สึกอยากอาเจียนหลังทานอาหาร
  • ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเปรี้ยว
  • ปวดท้องอย่างหนักเมื่อปล่อยให้ท้องว่าง หรือทานอาหารไม่เป็นเวลา

ยาแก้กรดไหลย้อน 7-11 เบลสิด เกิร์ด (Belcid GERD) ไม่เพียงแค่ช่วยแก้อาการกรดไหลย้อนเพียงเท่านั้น แต่ยังช่วยลดอาการจากโรคกระเพาะได้ด้วยเช่นกัน

ยาแก้กรดไหลย้อนลดอาการกรดไหลย้อน

โรคกรดไหลย้อน เกิดจากการที่กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับไปที่หลอดอาหารในปริมาณมาก สาเหตุที่พบบ่อยมักจะเกิดจากพฤติกรรมในการดำเนินชีวิต เช่น รับประทาน และเอนตัวนอนทันที หรือการทานอาหารจำนวนมากเกินต่อมื้อ นอกจากนี้ยังสามารถเกิดจากความผิดปกติของหูรูดส่วนปลายหลอดอาหารด้วยเช่นกัน โดยอาการของโรคกรดไหลย้อนที่พบ มีดังนี้

  • แสบร้อนกลางหน้าอก บริเวณลิ้นปี่
  • รู้สึกเรอเปรี้ยว รวมไปถึงรู้สึกเปรี้ยว และขมคอตลอดเวลา
  • มีอาการอาหารย้อนขึ้นในปาก และคอ
  • รู้สึกจุกเสียด แน่นท้องระหว่างวันบ่อยครั้ง

มีการพบว่ากรดไหลย้อน เป็นโรคที่เป็น ๆ หาย ๆ ในใครหลาย ๆ คน ยาแก้กรดไหลย้อน 7-11 เบลสิด เกิร์ด (Belcid GERD) จึงเป็นอีกหนึ่งยาสามัญประจำบ้านที่ควรซื้อติดไว้ในทุก ๆ ครอบครัว


ขนาดและวิธีการใช้ยาแก้กรดไหลย้อน

ยาแก้กรดไหลย้อนแบบซอง 7-11

วิธีการใช้ยาแก้กรดไหลย้อน 7-11 Belcid GERD (เบลสิด เกิร์ด) มีดังนี้

ข้อบ่งชี้ : ยาแก้กรดไหลย้อน บรรเทาอาการแสบร้อนกลางอก เรอเปรี้ยว ไม่สบายท้องเนื่องจากอาหารไม่ย่อย และมีกรดในกระเพาะเยอะ บรรเทาอาการจากโรคกรดไหลย้อน และโรคกระเพาะ

วิธีการรับประทาน : สำหรับเด็ก และผู้ใหญ่อายุ 12 ปีขึ้นไป ทานยาแก้กรดไหลย้อนครั้งละ 1-2 ซอง วันละ 3-4 ครั้ง หลังอาหาร

ข้อควรระวัง : ไม่ควรรับประทานยาแก้กรดไหลย้อน 7-11 เบลสิด เกิร์ด (Belcid GERD) ในผู้ที่ป่วยโรคหัวใจ โรคไต ควรเข้ารับการปรึกษากับแพทย์ก่อนทาน และหากทานยาแก้กรดไหลย้อนร่วมกับยาประจำตัวประเภทอื่น ควรเว้นระยะเวลาให้ห่างกันอย่างน้อย 2 ชั่วโมง


ข้อห้ามเมื่อมีอาการกรดไหลย้อน

แม้จะเลือกทานยาแก้กรดไหลย้อน 7-11 เบลสิด เกิร์ด (Belcid GERD) เพื่อบรรเทาอาการกรดไหลย้อน อย่างไรก็ตาม การปรับพฤติกรรมการทานอาหารยังคงเป็นสิ่งสำคัญในการแก้อาการกรดไหลย้อนอย่างยั่งยืน โดยข้อห้ามเมื่อมีอาการกรดไหลย้อน มีดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีแก๊สในปริมาณมาก เช่น น้ำอัดลม
  • หลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีกรดไขมันสูง
  • หลีกเลี่ยงการทานอาหาร และนอนในทันที
  • หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด
  • งดปริมาณ หรือหยุดดื่มเครื่องแอลกอฮอล์
  • หลีกเลี่ยงการทานอาหารรสเปรี้ยวในช่วงที่เป็นกรดไหลย้อน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับยาแก้กรดไหลย้อน

คนท้องสามารถกินยาลดกรดไหลย้อนได้ไหม

เบลสิด เกิร์ด (Belcid GERD) ยาแก้กรดไหลย้อน 7-11 สามารถรับประทานได้ทั้งเด็กที่มี 12 ปีขึ้นไป ผู้ใหญ่ และคนท้อง

ยาแก้กรดไหลย้อนออกฤทธิ์ภายในกี่นาที

เบลสิด เกิร์ด (Belcid GERD) ยาแก้กรดไหลย้อน 7-11 ออกฤทธิ์บรรเทาอาการกรดไหลย้อนภายใน 5 นาทีหลังรับประทาน และคงประสิทธิภาพการบรรเทาอาการได้นานถึง 4 ชั่วโมง

ยาแก้กรดไหลย้อน Belcid Gerd มีขายแค่ใน 7-11 หรือไม่?

สามารถซื้อยาแก้กรดไหลย้อนเบลสิด เกิร์ด (Belcid Gerd) ได้ผ่าน 7-11 ทุกสาขา และสามารถสั่งซื้อได้ผ่านเว็บไซต์ Biopharm


สรุปยาแก้กรดไหลย้อน 7-11 เบลสิด เกิร์ด (Belcid GERD) by Biopharm

อาการจากโรคกรดไหลย้อนมักจะสร้างความไม่สบายตัวให้ตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะในช่วงเวลานอน รวมไปถึงยังทำให้มีอาการไม่อยากอาหาร จนส่งผลให้เกิดโรคกระเพาะร่วมด้วย เพราะฉะนั้นการซื้อยาแก้กรดไหลย้อนติดไว้เป็นยาสามัญประจำบ้าน คือการเตรียมพร้อมที่ดีที่สุด

หากใครกำลังต้องการบรรเทาอาการกรดไหลย้อน แสบร้อนทรวงอก ยาแก้กรดไหลย้อน 7-11 เบลสิด เกิร์ด Biopharm Belcid GERD รสราสเบอรี่ รสชาติใหม่ของวงการยากรดไหลย้อน กลิ่นหอมไม่เหมือนใคร เด็กทานได้ ผู้ใหญ่ทานดี หาซื้อง่าย ซื้อได้จาก 7-11 ทุกสาขาตลอด 24 ชั่วโมง


ยาลดกรดในกระเพาะ ยาลดกรดไหลย้อน

ยาลดกรดไหลย้อนกินตอนไหนดี พร้อมวิธีการลดกรดในกระเพาะอย่างถูกวิธีที่ทุกคนควรรู้

ยาลดกรดในกระเพาะ ยาลดกรดไหลย้อน

ภาวะกรดไหลย้อน (GERD) ที่ทำให้ปวดท้อง แน่นท้อง และรู้สึกไม่สบายตัวจนนอนไม่หลับ หนึ่งในอุปสรรคระหว่างวันของใครหลาย ๆ คน สำหรับใครที่ยังไม่มียาลดกรดไหลย้อน หรือยาลดกรดในกระเพาะติดบ้านไว้ และยังไม่มั่นใจว่าอาการปวดท้องแบบไหนที่หมายถึงตัวเองกำลังเป็นโรคกระเพาะ บทความนี้มีความรู้ดี ๆ เกี่ยวกับโรคกรดไหลย้อนมาเล่าสู่กันฟัง พร้อมแนะนำวิธีการรักษากรดไหลย้อน วิธีลดกรดในกระเพาะด้วยตัวเองอย่างถูกวิธีที่ทุกคนไม่ควรพลาด


สารบัญบทความ


อาการเมื่อมีกรดในกระเพาะเยอะ

มีคนจำนวนไม่น้อย ที่ไม่ทราบว่าตัวเองกำลังเผชิญอยู่กับโรคกรดไหลย้อน ทำให้ไม่ได้ซื้อยาลดกรดไหลย้อนติดบ้านไว้ส่งผลให้อาการกรดไหลย้อนไม่หายขาดไปสักที โดยวิธีสังเกตอาการเบื้องต้นที่เป็นสัญญาณเตือนของภาวะกรดไหลย้อนนั้น มีดังนี้

  • มีอาการแสบร้อนกลางอก โดยเฉพาะในช่วงเวลาหลังรับประทานอาหาร
  • จุกเสียด แน่นท้อง รู้สึกไม่สบายตัวเหมือนอาหารไม่ย่อย
  • มีกลิ่นปาก เรอเปรี้ยว รู้สึกน้ำลายขมตลอดเวลา
  • รู้สึกแน่นหน้าอก
  • อาการไอ และเสียงแหบเรื้อรัง

หากคุณพบว่าตนเองมีอาการข้างต้นมากกว่า 50% โดยเฉพาะรู้สึกแสบร้อนกลางอก และเรอเปรี้ยว อาการดังกล่าวค่อนข้างมีโอกาสสูงที่จะใช้ยืนยันได้ว่าคุณกำลังประสบกับปัญหาภาวะกรดในกระเพาะเยอะ หรือกำลังเป็นโรคกรดไหลย้อนโดยไม่รู้ตัว เราขอแนะนำยาลดกรดในกระเพาะ และยาลดกรดไหลย้อนเบลสิด เกิร์ด ยาแก้กรดไหลย้อนสามัญประจำบ้านรสชาติใหม่ที่ควรมีติดบ้านไว้ในทุกครอบครัว ทานง่าย หาซื้อได้ 24 ชั่วโมง


วิธีรักษาภาวะกรดไหลย้อนด้วยยา

ยาลดกรดไหลย้อนแบบซอง Belcid GERD

ยาแก้กรดไหลย้อนแบบซอง 7-11

บรรเทาอาการกรดไหลย้อนด้วยยาลดกรดในกระเพาะ และยาลดกรดไหลย้อน เบลสิด เกิร์ด (Belcid GERD) ที่มีสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม (Active Pharmaceutical Ingredients, API) ที่ดีที่สุดจากประเทศ Norway ช่วยสร้างชั้นเจลป้องกันเยื่อบุภายในกระเพาะเพื่อลดอาการระคายเคือง และบรรเทาอาการกรดไหลย้อนขึ้นมาบริเวณหลอดอาหาร พร้อมกลไกที่สามารถลดความเป็นกรดในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย ที่สำคัญทานง่าย ด้วยรสชาติใหม่ไม่ซ้ำใครอย่าง รสราสเบอรี่ มีกลิ่นหอมสดชื่น ไม่ทำให้รู้สึกแสบคอ แสบอกยิ่งขึ้นเหมือนรสมินต์ในยาลดกรดไหลย้อนทั่วไป มีทั้งรูปแบบซอง และแบบน้ำทานง่าย หาซื้อได้จาก 7-11 ทุกสาขา และร้านขายยาทั่วไป

วิธีการรับประทาน :

สำหรับเด็ก และผู้ใหญ่ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป รับประทานยาลดกรดไหลย้อนเบลสิด เกิร์ด 1-2 ซอง วันละ 3-4 ครั้ง หลังรับประทานอาหาร

ข้อควรระวัง :

ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ และโรคไตไม่ควรรับประทาน

หากรับประทานยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือเป็นหนักขึ้นควรพบแพทย์เพื่อประเมินอาการ

หากรับประทานยาประจำตัวเป็นประจำ ควรเว้นระยะห่าง 2 ชั่วโมง ก่อนหรือหลังยาลดการหลั่งกรด

ยาลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร

อาการกรดไหลย้อน มีสาเหตุร่วมมาจากการที่มีกรดในกระเพาะอาหารเยอะกว่าปกติ ทำให้รู้สึกจุก เสียด แน่นท้อง โดยอาการดังกล่าวสามารถบรรเทาได้ด้วย เช่น ยาในกลุ่ม H2 blockers หรือ PPI ตัวยาที่นิยมใช้กันเช่น โอเมพราโซล (Omeprazole) เป็นยาลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ใช้รักษาอาการกรดไหลย้อนหรือโรคที่มีกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป รวมถึงโรคหลอดอาหารอักเสบจากกรดในกระเพาะ และยังใช้ควบคู่กับยาปฏิชีวนะ เพื่อรักษาแผลในกระเพาะอาหารที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ไพโลไร (H. pylori)

วิธีการรับประทาน :

รับประทานยาในปริมาณ 20 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 4–8 สัปดาห์ หากมีอาการรุนแรงให้รับประทานยา 40 มิลลิกรัม วันละ 1–2 ครั้ง ติดต่อกัน 8 สัปดาห์ โดยปริมาณยาต่อเนื่องจะอยู่ที่ 10 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง หากจำเป็นอาจเพิ่มปริมาณยาถึง 20–40 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง

ข้อควรระวัง :

หญิงตั้งครรภ์หรือกำลังวางแผนมีบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา

หญิงให้นมบุตรไม่ควรรับประทานโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เพราะยานี้สามารถผ่านสู่น้ำนมและเป็นอันตรายต่อลูกได้

ห้ามให้เด็กอายุต่ำกว่า 1 ปีรับประทานยานี้โดยไม่ปรึกษาแพทย์

ยาลดอาการปวดเกร็งช่วงท้อง

นอกจากการรับประทานยาลดกรดไหลย้อน และยาลดกรดในกระเพาะ (ลดการหลั่งกรด) แล้ว สำหรับใครที่มีปัญหาปวดหน่วง ปวดเกร็งช่องท้องเป็นระยะ ๆ ไม่หายขาด ส่งผลให้นอนไม่หลับ หรือเป็นอุปสรรคในชีวิตประจำวัน อาจเกิดจากอาการของโรคกระเพาะ สามารถบรรเทาได้ด้วยยาลดอาการปวดเกร็ง เพื่อให้อาการปวด เกร็งช่วงท้องทุเลาลง


วิธีดูแลตัวเองเมื่อมีอาการกรดไหลย้อน

โรคกรดไหลย้อนวิธีรักษา

ภาวะกรดในกระเพาะเยอะ และอาการกรดไหลย้อนนั้น การรับประทานยาเพียงอย่างเดียวอาจจะช่วยบรรเทาอาการให้ทุเลาลงได้ แต่ไม่อาจสามารถรักษาให้หายขาดได้ เพราะฉะนั้นการเริ่มต้นแก้กรดไหลย้อน เบื้องต้นด้วยวิธีการรักษากรดไหลย้อนจากการปรับพฤติกรรมอย่างถูกวิธีไปพร้อม ๆ กับการรับประทานยาลดกรดไหลย้อน จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

  • หลีกเลี่ยงการเอนตัวลงนอนทันทีหลังรับประทานเสร็จ ควรเว้นระยะห่างขั้นต่ำ 3-4 ชั่วโมง
  • ไม่ควรนอนทานอาหาร
  • หลีกเลี่ยงอาการที่มีกรดเยอะ เช่น อาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด รวมไปถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • หลีกเลี่ยงการทานอาหารมื้อใหญ่ทีละเยอะ ๆ ควรแบ่งมื้อรับประทาน
  • พักผ่อนให้เพียงพอ และลดภาวะเครียดระหว่างวัน
  • หากมีน้ำหนักเยอะเกินเกณฑ์ ควรลดน้ำหนักเพื่อลดความดันในกระเพาะอาหาร และรักษาสุขภาพ
  • รับประทานยาลดกรดในกระเพาะ และยาลดกรดไหลย้อน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับยาลดกรดไหลย้อน

ปวดท้องแบบไหนเป็นโรคกระเพาะ?

อาการที่บ่งชี้ว่าคุณกำลังเป็นโรคกระเพาะนั้น สังเกตุได้จากความรู้สึกแสบร้อนบริเวณช่องท้องหลังรับประทานอาหาร รู้สึกแน่นท้อง และคลื่นไส้อยากอาเจียน อาการดังกล่าวจะเป็น ๆ หาย ๆ สร้างความทรมานที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต รวมไปถึงในบางกรณีอาจสัมพันธ์กับอาการไม่อยากอาหาร หรืออิ่มง่าย ทานได้ไม่เยอะ ควรรับยาแก้ปวดท้องจากโรคกระเพาะ และปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาโรคกระเพาะทันที หากปล่อยให้อาการเรื้อรังอาจส่งผลให้กระเพาะอาหารทะลุ มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร ไปจนถึงมะเร็งในกระเพาะอาหารที่อาจอันตรายถึงชีวิต

ผลข้างเคียงของยาลดกรดในกระเพาะหรือยาลดกรดไหลย้อนคืออะไร?

การรับประทานยาลดกรดในกระเพาะ หรือยาลดกรดไหลย้อนที่ได้มาตรฐาน และมีอย.อย่างถูกวิธี ในปริมาณที่เหมาะสม มีโอกาสน้อยมากที่จะพบผลข้างเคียง อย่างไรก็ตามในบางรายอาจพบอาการท้องเสียง เรอบ่อย ไปจนถึงคลื่นไส้อาเจียน สาเหตุที่พบมักเกิดจากยาที่รับประทานไม่ได้มาตรฐาน หรืออาจมีส่วนผสมที่ไม่เหมาะสมสำหรับผลิตยาลดกรด เมื่อพบอาการดังกล่าวควรหยุดยา หากไม่ดีขึ้นควรเข้าพบแพทย์โดยทันที

ยาลดกรดในกระเพาะกินตอนไหน?

ยาลดกรดควรรับประทานหลังอาหาร และก่อนนอน เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด


สรุปยาลดกรดไหลย้อน

วิธีลดกรดไหลย้อน พร้อมป้องกันปัญหาปวดท้องเรื้อรังจนทำให้เกิดโรคกระเพาะด้วยการปรับพฤติกรรมการทานอาหาร และการใช้ชีวิตให้ดียิ่งขึ้น พร้อมรับประทานยาลดกรดในกระเพาะ และยาลดกรดไหลย้อนอย่างสม่ำเสมอ

ยาลดกรดไหลย้อนในกระเพาะ เบลสิด เกิร์ด (Belcid GERD) ยาแก้กรดไหลย้อน 7-11 จาก Biopharm ผู้นำด้านเวชภัณฑ์ที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 48 ปี เป็นตัวแทนจำหน่าย และนำเข้ายาจากต่างประเทศภายใต้ปรัชญา เพื่อนคู่สุขภาพ (Your Healthcare Partner) โดยเบลสิดเกิร์ด ยาลดกรดไหลย้อน ลดกรดในกระเพาะรสราสเบอรี่ เด็กทานได้ผู้ใหญ่ทานดี ช่วยแก้อาการกรดไหลย้อนเร่งด่วน บรรเทาอาการจุกเสียดแน่นท้อง ลดกรดในกระเพาะ แก้อาการกรดไหลย้อน พร้อมสร้างเจลเคลือบกระเพาะช่วยลดอาการปวดท้องจากโรคกระเพาะให้ทุเลาลง ยาสามัญประจำวันหาซื้อง่าย มีจัดจำหน่ายที่ 7-11 ทุกสาขา

 


แมกนีเซียม เพื่อกระดูกและฟันที่แข็งแรง

 

"แมกนีเซียม" คงเป็นชื่อที่คุ้นหูกันอยู่แล้ว แต่รู้หรือไม่ว่า แมกนีเซียม มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร และเราจะได้รับสารแมกนีเซียมจากไหนได้บ้าง ?

แมกนีเซียม เป๋นแร่ธาตุชนิดหนึงที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งมีความจำเป็นต่อกระบวนการเผาผลาญของแคลเซียมและวิตามินซี เช่นเดียวกับฟอสฟอรัส โซเดียม และโพแทสเซียม ดังนั้น แมกนีเซียมจึงมีส่วนช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง นอกจากนี้ยังมีความจำเป็นต่อการทำงานของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ และยังสำคัญต่อการเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดให้เป็นพลังงาน


รู้จักกับ โสม ยอดฮิต! สารพัดประโยชน์ของราชาสมุนไพร

เชื่อว่าหลายๆคนคงรู้จัก "โสม" ทั้งในแบบรับประทานและเป็นส่วนผสมสุดฮิตในสกินแคร์ ขึ้นชื่อเรื่องบำรุงกำลังและความอ่อนเยาว์ แต่วันนี้เราจะมาเจาะลึกข้อมูลเกี่ยวกับโสมที่คุณอาจยังไม่รู้

 

"โสม" รู้จักกันมาในนามของยาบำรุงกำลังที่ชาวจีนนิยมใช้มานานกว่าพันปี และยังคงฮอตติดลมบนมาจนถึงทุกวันนี้ โดยมีการใช้อย่างแพร่หลายในหลายๆประเทศ รวมถึงประเทศไทยเองก็มีขายกันจำนวนมาก หรือไม่พลาดที่จะซื้อเป็นของฝากเวลาไปประเทศที่มีโสมขึ้นชื่ออย่างเกาหลีใต้หรือประเทศจีน แต่จริงๆแล้ว โสมมีหลายชนิด โดยโสมชนิดที่มักขายกันทั่วไป คือ โสมเอเชีย (Panax Ginseng) หรือที่เรียกกันง่ายๆว่า "โสมตะวันออก" อย่างโสมจีน โสมเกาหลี แต่ยังมีโสมชนิดอื่นๆ อย่างโสมอเมริกัน (Panax quinquefolius) และโสมไซบีเรีย (Eleutherococcus senticosus) ซึ่งโสมทั้งสองชนิดนี้ไม่จัดเป็นโสมแท้ แต่ก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายไม่ต่างจากโสมตะวันออก

 

ประโยชน์ของโสม

✔ เพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกาย

✔ เพิ่มการตอบสนองต่ออินซูลิน

✔ เพิ่มการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน

✔ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

✔ ลดการอักเสบที่สร้างจากเม็ดเลือดขาว

✔ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด

✔ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต

✔ มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ

✔ ช่วยให้ร่างกายขับสารพิษต่างๆเร็วขึ้น

✔ บรรเทาอาการหวัด

✔ ช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเอสโทรเจน บรรเทาอาการไม่สบายในช่วงวัยทอง

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


กรดเกินจะหายไป ถ้า Say Goodbye พฤติกรรมเหล่านี้

ใครจะคิด ว่าการพฤติกรรมการกินของเราจะกระทบต่อสุขภาพร่างกายได้มากขนาดนี้😷

เพราะการทานอาหารตอนดึก⏰
ทานแล้วนอนเลย😴
ทานไม่เป็นเวลา🤢
ทานเยอะหรือเร็วเกินไป🍿🍗 🍦
และการไม่ทานผักผลไม้ 🤐

ล้วนทำให้กระเพาะหลั่งกรดออกมามากกว่าปกติ และหลั่งไม่เป็นเวลา พาลจะทำให้หูรูดกระเพาะเสื่อม ควบคุมกรดไม่ได้อีกต่อไป

 

อยากหายจากอาการกรดเกิน ต้องหลีกจากของแสลงเหล่านี้ให้ไกล😖

ทั้งของทอด ของมัน🍔🍟🍕
อาหารรสจัด ทั้งเผ็ด เค็ม เปรี้ยว/ของหมักดอง🌶🍜🍓
ผลไม้รสเปรี้ยวจัด เช่นสับปะรด ส้ม มะนาว🍍🍊🍋
อาหารที่ทำมาจากถั่ว 🌰🥜
เนื้อสัตว์สุกๆ ดิบๆ🥩🍣

อาหารจำพวกที่มีกรดเยอะ มันมาก หรือมีแก๊สเยอะ ย่อยยากกว่าอาหารทั่วไปทำให้กระเพาะต้องผลิตกรดออกมาใช้ในการย่อยมากขึ้น จนเกิดอาการกรดเกินในที่สุด

 

เมื่อเป็นเรื่องกรดเกิน หลายคนอาจมองข้ามสิ่งใกล้ตัวอย่างเครื่องดื่มที่เราดื่มอยู่ทุกวัน สั่งจนติดปากอยู่ทุกมื้อ รู้มั้ยว่าเครื่องดื่มแต่ละแก้ว ส่งผลเสียได้มากกว่าที่คิด🍻

เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์🍺🍷 🥃
เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน (ชา กาแฟ) ☕️🍶
น้ำอัดลม ที่มีทั้งแก๊ส และกาเฟอีน🥤
เครื่องดื่มชูกำลัง💪

จะไปกระตุ้นให้กระเพาะผลิตน้ำย่อยออกมามากขึ้น จนแสบท้องจากกรดกัดกระเพาะค่ะ

 

เมื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้แล้ว ก็อย่าลืมเสริมความแข็งแรงให้กระเพาะด้วยพฤติกรรมที่ดีอย่างการทานอาหารย่อยง่าย ทานผักผลไม้ที่มีเบตาแคโรทีนสูง เช่น แครอท🥕 ฟักทอง🎃 แคนตาลูป🍈

และอย่าลืม! พกยาลดกรด-เคลือบกระเพาะ ไว้ใกล้ๆ มือ สำหรับบรรเทาอาการ ให้คุณแฮปปี้ได้ทั้งวัน เพราะบอกลาอาการแสบท้อง จุกเสียด ปวดกระเพาะจากกรดเกินกันค่ะ

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm

 


หยุด! พฤติกรรมป้อนสารพิษเข้าสู่ร่างกาย โดยไม่รู้ตัว

 

ในปัจจุบันมีผู้ป่วยจากสารพิษจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่ได้รับสารพิษในปริมาณมากจพเกิดอาการเป็นพิษเฉียบพลัน เช่น

 


สารพิษจากบุหรี่

บุหรี่มีสารก่อมะเร็งที่สำคัญ เช่น นิโคติน แอลกอฮอล์ฟีนอล สารอัลดีไฮด์อะโรมาติก ไฮโรคาร์บอน สารหนู โดยนิโคตินจะกระจายไปตามอวัยวะต่างๆ และเป็นสารที่ทำให้เสพติด

 


สารพิษจากสุรา

แอลกอฮอล์ทำลายวิตามินบี 1,วิตามินบี 2 และขัดขวางการดูดซึมแคลเซียม รวมทั้งขัดขวางการสังเคราะห์ไกลโคเจน ทำให้มีการสร้างไขมันที่ตับมากขึ้นจนเกิดตับอักเสบ ตับแข็ง

 


โลหะหนัก

สารตะกั่วอาจปนเปื้อนในน้ำและอาหาร และอาจพบสารตะกั่วปนเปื้อนในภาชนะบรรจุอาหารที่ไม่ได้มาตราฐาน จนเกิดพิษต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm

 


4 ผลวิจัยและเหตุผลดีๆที่สัตว์เลี้ยงช่วยให้อายุยืน

4 ผลวิจัยและเหตุผลดีๆ ที่ "สัตว์เลี้ยงช่วยให้อายุยืน"

 

สัตว์เลี้ยงช่วยทำให้ใจเย็นขึ้น

การลูบตัวสุนัขหรือแมวช่วยลดความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจได้ และช่วยเพิ่มระดับสารเซโรโทนินและโดปามีนในสมอง ซึ่งเป็นสารธรรมชาติในสมองที่ทำให้รู้สึกมีความสุขและใจเย็น

สัตว์เลี้ยงช่วยเพิ่มภูมิต้านทานในร่างกาย

ช่วยป้องกันฮอร์โมนที่เกิดจากความเครียดไม่ให้ไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้มีผลเสียต่อร่างกายหลายรูปแบบ

 


สัตว์เลี้ยงช่วยให้อายุยืน

การเลี้ยงสุนัขจะช่วยให้ผู้ป่วยที่เคยหัวใจวายมีอายุยืน มีการศึกษาโดยให้ผู้ที่เคยหัวใจวายมาแล้ว 421 รายเลี้ยงสุนัข เมื่อผ่านไป 1 ปี ผู้ที่เลี้ยงสุนัขจะมีอายุยืนมากกว่าผู้ที่ไม่เลี้ยง


สัตว์เลี้ยงพาออกกำลังกาย

มีผลงานวิจัยหลายชิ้นระบุว่า ผู้ที่มีสัตว์เลี้ยงจะได้ออกกำลังกายมากกว่าคนทั่วไป เพราะผู้ที่เลี้ยงสุนัขและพาสุนัขออกไปเดินเล่นเป็นประจำ มีน้ำหนักน้อยกว่าผู้ที่ไม่มีสัตว์เลี้ยง หรือไมีแต่ไม่พาออกไปเดินเล่น ดังนั้น การพากันไปเดินเล่นออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ดีทั้งสำหรับเจ้าของและสัตว์เลี้ยงแน่นอน

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


รวม 4 วิธี เทคนิคพิชิตใจ ลูกกินยาก

 

ปัญหาลูกทานยาก ไม่เจริญอาหาร เป็นปัญหาหนักใจของคุณพ่อคุณแม่หลายท่าน วันนี้เรามีวิธีดีๆ ให้คุณพ่อคุณแม่ลองทำตาม ลองดูกันว่าจะพิชิตใจเหล่าตัวน้อยได้หรือไม่

 

1. ตรวจร่างกาย ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง

ประเมินภาวะโภชนาการของเด็ก ด้วยการสังเกตกราฟการเจริญเติบโต ด้วยการชั่งน้ำหนัก และวัดส่วนสูงเทียบกับเกณฑ์ปกติตามวัยของลูก และบันทึกชนิด ปริมาณของอาการที่ลูกกินเข้าไป รวมทั้งขนม และนมในแต่ละมื้อ และแต่ละวันด้วย
สูตรการคำนวณน้ำหนักตามอายุ (ใช้ได้ตั้งแต่อายุ 1-10 ขวบ) น้ำหนักเฉลี่ย = 8 + (2 x อายุเป็นปี)ช่วงน้ำหนักปกติ จะมากหรือน้อยกว่าน้ำหนักเฉลี่ยที่คำนวณได้ตามสูตรประมาณ 2 กิโลกรัม

 


2. ต้องแน่ใจว่าลูกจะหิวเมื่อถึงเวลากิน

คุณพ่อ หรือคุณแม่ต้องให้ลูกกินเป็นเวลา โดยกำหนดเวลารับประทานอาหารแต่ละมื้อให้ชัดเจน ถ้าลูกเกเรไม่ยอมกินภายใน 30 นาที 1 ชั่วโมง ให้เก็บรอในอีกมื้อถัดไป ถ้าในเด็กที่มีอาการขาดอาหาร หรือวิตามิน อาจให้วิตามินรวมสูตรสำหรับเด็กเบื่ออาหาร เพื่อกระตุ้นความอยากอาหารได้


3. อาหารต้องน่ากิน

การฝึกการกินของลูก ช่วงแรกเริ่มควรเตรียมแต่อาหารที่ลูกชอบ กินง่าย ตกแต่งให้น่ากิน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้อยากกินเอง เป้าหมายสำคัญคือ การสร้างวินัยในการกิน จนลูกปฏิบัติได้สม่ำเสมอ


4. ตักอาหารทีละน้อยๆ

คุณพ่อคุณแม่ควรตักอาหารครั้งละน้อยๆ ให้ลูกมีกำลังใจว่ากินได้หมด รวมทั้งควรให้ลูกตักด้วยตัวเอง ถ้าหมดแล้วจึงค่อยเติม เพื่อที่ลูกจะได้ไม่เคยชินกับการกินเหลือ หรือต้องถูกบังคับให้กินจนหมดจาน

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm

 


วิตามินอี กับ 5 ประโยชน์ที่มีดีมากกว่าบำรุงผิวชุ่มชื้น

หลายคนคงรู้จักกับ วิตามินอี (Vitamin E) ในรูปแบบทั้งการรับประทานและการทาบำรุงผิว เพราะมีชื่อเสียงในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง ซึ่งเป็นพื้นฐานของผิวสวยสุขภาพดี แต่จริงๆแล้ววิตามินอียังไม่ประโยชน์ต่อร่างกายในอีกหลายๆส่วน

 

วิตามินอี ช่วยต้านอนุมูลอิสระ

 

ทำให้ผิวชุ่มชื้น ลดรอยแผล

 

บำรุงประสาทและกล้ามเนื้อ

 

ช่วยในการไหลเวียนของเลือด และป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


ไม่อยากไป 2 กลับ 3 ต้องทำยังไง ?

 

วางแผนไว้ก่อนยังไงก็ชัวร์กว่า ถ้ารู้ตัวว่าจะมีนัด หรือนัดกันอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ก็ทานยาคุมแบบรายเดือนไว้ซะเลย สบายใจสุดๆ ไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องนับถอยหลังวันไข่ตก เพราะยาคุมรายเดือนแบบปกติสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ถึง 99.7% หรือมีโอกาสพลาด น้อยกว่า 1 ใน 300 คนซะอีก

พลาดไปแล้วต้องทำไง ไม่ต้องกลัวๆ ทีมฉุกเฉินมารวมกันทางนี้

เรารู้ว่าเหตุไม่คาดฝันเกิดได้เสมอ ทั้งลืมป้องกัน หรือป้องกันแล้วหลุด! พลาดไปแล้วอย่ามัวตกใจ ตั้งสติให้ได้ภายใน 72 ชั่วโมง เพราะยาคุมฉุกเฉินจะออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด ต่อเมื่อทานหลังเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกันโดยเร็วที่สุด และไม่เกิน 72 ชั่วโมงเท่านั้น

ฉุกเฉินแล้ว...ฉุกเฉินอีก ก็ได้หรอ?

ได้ค่ะ! ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็สามารถใช้ยาคุมฉุกเฉินได้เสมอ แค่ระวังอย่าให้เกินเดือนละ 2 ครั้ง เพราะถ้ามีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกันบ่อยกว่านั้น แนะนำให้ใช้ยาคุมกำเนิดแบบรายเดือนเลยดีกว่าค่ะ จะได้ช่วยกำหนดรอบเดือน และไม่ต้องกังวลเรื่องอาการข้างเคียงได้ด้วย

ทริปนี้ไม่ผิดแผนแน่ ถ้าเลือกวางแผนไว้ล่วงหน้า และมีสติ หากมีอะไรผิดพลาด กู้สถานการณ์ให้ทันเวลา ใน 72 ชั่วโมง

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


ปวดขาแบบนี้ ! เช็คให้ดีต้องประคบร้อนหรือเย็น

 

 

ประคบร้อน

ปวดกล้ามเนื้อ เส้นตึง หรือปวดแบบเรื้อรัง
ประคบร้อน ครั้งละ 15-20 นาที หรือใช้ยานวดคลายกล้ามเนื้อสูตรร้อน
ความร้อนจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการเส้นตึง และทำให้หลอดเลือดขยายตัว เลือดจึงไหลเวียนได้ดีขึ้น อาการบวมลดลง ควรประคบร้อนไม่เกิน 45 องศา ครั้งละไม่เกิน 15-20 นาที หรือใช้ยานวดสูตรร้อนแทนเพื่อหลีกเลี่ยงอาการแสบผิวค่ะ

 

ประคบเย็น

ปวดจากอาการบาดเจ็บ มีเลือดออกจากภายใน
ประคบเย็น ใน 2 วันแรกของการบาดเจ็บ วันละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 20-30 นาที
ความเย็นจะทำให้เส้นเลือดหดตัว และทำให้เลือดไหลเวียนช้าลง จึงช่วยห้ามเลือด ลดอาการบวม บรรเทาปวดและอักเสบแบบเฉียบพลัน

ประคบเย็น สลับ ประคบร้อน

ปวดจากเส้นพลิก ข้อแพลง
ให้ประคบเย็น เพื่อลดบวม เมื่อหายบวมแล้วจึงจะสามารถประคบร้อนสลับเย็นได้ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด และผ่อนคลายกล้ามเนื้อค่ะ

 

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


ยาแก้ปวดประจำเดือน เลือกอย่างไร ไม่ให้กัดกระเพาะ

 

สาวๆหลายคนคงเจอปัญหาปวดท้องเมื่อถึงวันนั้นของเดือน ซึ่งมักจะรบกวนกิจวัตรประจำวัน และมีสาวๆจำนวนมากที่เลือกจะกินยาแก้ปวดประจำเดือน แต่รู้หรือไม่ว่า... ยาแก้ปวดประจำเดือน มีหลายชนิด โดยยาบางชนิดมีการพัฒนาให้มีความปลอดภัยในการใช้ยาเพิ่มมากขึ้น เช่น การพัฒนาให้ยาไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร ดังนั้นจึงกินเวลาไหนก็ได้ โดยไม่ต้องกังวัล และยังพัฒนาให้กินเพียงวันละครั้งก็สามารถลดอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว เช่น ตัวยา Etoricoxib 

 

 

 

 

มีหลายการศึกษาเปรียบเทียบตัวยาทั้ง 2 กลุ่ม คือ Mefenamic และ Etoricoxib  พบว่ายา Etoricoxib สามารถลดอาการปวดเมนส์ และ ลดการสูญเสียเลือดประจําเดือนได้ดีกว่าอย่างมีนัยสําคัญ และแทบไม่พบอาการไม่พึงประสงค์  เช่น อาการระคายเคืองกระเพาะอาหาร ขณะที่ยาอีกกลุ่มหนึ่งมีมากถึง 40%

 

 

  1. I. Nor Azlin,I. Maryasalwati,M. N. Norzilawati,Z. A. Mahdy,M. A. Jamil &M. R. Zainul Rashid

Pages 424-426 | Published online: 02 Jul 2009

 

ดั้งนั้นการเลือกยาแก้ปวดประจำเดือนนอกจากเลือกจากความสามารถลดอาการปวดได้แล้ว อาจต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในด้านอื่นๆ เช่น  การระคายเคืองกระเพาะอาหาร ประวัติการแพ้ยา และโรคประจำตัวของผู้ป่วย เช่น ผู้ที่มีแผลในทางเดินอาหาร เป็นโรคตับหรือไตบกพร่องรุนแรง เป็นต้น ดังนั้น จึงแนะนำให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา

 

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


รู้ทัน... อาการเจ็บคอ (Sore Throat) ก่อนรักษาให้ตรงจุด

เจ็บคอ (Sore Throat)

 

อากาศเริ่มหนาว ฝุ่น PM 2.5 ก็เยอะ!! อาการที่หลายคนเป็นคือ อาการระคายเคืองคอ ไอ เจ็บคอ และจะเป็นมากขึ้นเวลากลืน เนื่องจากมีการอักเสบของเนื้อเยื่อในลำคอ

 

อาการ จะแตกต่างในแต่ละคนขึ้นอยู่กับสาเหตุ ได้แก่

เจ็บ แสบ หรือระคายเคืองคอ

กลืนลำบาก คอแห้ง เสียงเปลี่ยน อาจมีอาการปวดร้าวไปหู

เยื่อบุในลำคอมีสีแดง ต่อมทอลซิลบวม โต และแดง

 

สาเหตุของอาการเจ็บคอ  เกิดจาก 2 สาเหตุหลัก ด้วยกันคือ

1 การติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น เชื้อไวรัส แบคทีเรีย

ซึ่ง 75-80% เกิดจากเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ และไม่จำเป็นต้องกินยาปฎิชีวนะ

ส่วน 20-25% เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งการรักษาจำเป็นต้องกินยาปฎิชีวนะ

2 ไม่ติดเชื้อ เช่น โรคกรดไหลย้อนขึ้นมาที่คอ , กล่องเสียง

ใช้เสียงมากเกินไป

โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ และชนิดไม่แพ้

สายเสียงอักเสบเรื้อรัง

สัมผัสกับสิ่งที่ทำให้ระคายเคือง เช่น ฝุ่น บุหรี่ สารเคมี เครื่องดื่มแอลกอฮอร์ การคาท่อหายใจ เยื่อบุคออักเสบจากการฉายแสง

 

จะรู้ได้อย่างไรว่าอาการเจ็บคอเกิดจากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ??

 

อาการที่เกิดจากเชื้อไวรัส

มีหรือไม่มีไข้ เจ็บคอไม่มาก

มีน้ำมูก ไอ จามบ่อย เสียงแหบ

บริเวณผนังคอหอยอาจแดงเล็กน้อย

ส่องคอไม่พบตุ่มหนองหรือจุดเลือดออก

การรักษา ไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ

 

อาการเจ็บคอที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย

ส่วนใหญ่มีไข้สูง>35 องศาเซลเซียส ร่วมกับไม่ไอ

กลืนน้ำลายแล้วเจ็บคอมาก

ต่อมน้ำเหลืองใต้คออักเสบ บวมโต

ส่องคอแล้วพบจุดหนองหรือจุดเลือดออก หรือมีเสมหะเขียวเหลือง ลิ้นมีฝ้า

การรักษา ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ

 

การักษาอาการเจ็บคอ

การติดเชื้อไวรัส จะรักษาตามอาการ ไม่ต้องกินยาปฏิชีวนะเช่น

ให้ยาบรรเทาอาการเจ็บคอ เช่น ยาอม ยากลั้วคอ ยาพ่นคอ จิบยาน้ำ  ยาเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และลดอาการระคายคอ

ยาบรรเทาอาการปวดหรือเจ็บคอหรือลดไข้ เช่น paracetamol, NSAIDs

ยาลดน้ำมูกหรือแก้แพ้ เช่น antihistamine

ส่วนการติดเชื้อแบคทีเรีย  ต้องให้ยาต้านจุลชีพ 7-10 วัน

 

การปฎิบัติตัวของผู้ป่วย เมื่อมีอาการเจ็บคอ

  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  • รับประทานอาหารอ่อนๆเช่น โจ๊ก ข้าวต้ม หลีกเลี่ยงอาหารเย็นๆ เช่น ไอศกรีม น้ำแข็ง
  • ดื่มน้ำอุ่น จะช่วยลดการระคายเคือง และทำให้รู้สึกสบายคอ ช่วยดการอักเสบลงได้
  • กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ โดยผสมเกลือป่น 1 ช้อนชาในน้ำอุ่น 1 แก้ว วันละ 2-3 ครั้ง
  • หลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด รสจัด อาหารทอด
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอร์
  • หลีกเลี่ยงการใช้เสียงชั่วคราว
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสอากาศเย็นๆ
  • ฉีดพ่นด้วยสเปรย์จากสารสกัดจากธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการไอ ระคายเคืองคอ ลดการอักเสบ ระงับกลิ่นปาก ลมหายใจเย็น สดชื่น และพกพาสะดวก

 

สารสกัดจากธรรมชาติ ที่ช่วยบรรเทาอาการไอ เจ็บคอ


สารสกัดจากดอกคาร์โมมายล์ ช่วยลดการอักเสบ และช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ช่วยลดอาการระคายเคืองใน ช่องปาก ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ช่วยให้ชุ่มคอ

สารสกัดอิชินาเซีย กระตุ้นภูมิคุ้มกัน บรรเทาหวัด

Peppermint Oil ให้ความเย็นซ่า ให้กลิ่นหอมสดชื่น สะอาด จึงช่วยระงับกลิ่นปากได้ดี นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และไวรัสในลำคอ และทำให้รู้สึกชา (มีผลช่วยลดความรู้สึกเจ็บคอ)

Bergamot Oil ให้ความรู้สึกสดชื่น หอมหวาน และรู้สึกสงบและสดชื่น

Menthol ฆ่าเชื้อและลดอาการอักเสบในช่องปาก ทำให้รู้สึกเย็นสดชื่น

Methyl salicylate ลดอาการไอ ลดการอักเสบ

Clove Oil บรรเทาอาการไอ เจ็บคอ ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียระงับกลิ่นปาก

Sage oil ช่วยเพิ่มสมาธิ ผ่อนคลายความวิตกกังวล แก้เจ็บคอ กล่องเสียงอักเสบ ไซนัสอักเสบ

Eucalyptol oil ช่วยบรรเทาอาการไอ ช่วยแก้อาการเจ็บคอมีสารต้านแบคทีเรีย ช่วยให้ลมหายใจสดชื่น

Pine oil คุณสมบัติฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อโรค แก้ปวด ดับกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ แก้ไอ ขับเสมหะ ช่วยขยายหลอดลม

Anise Oil มีคุณสมบัติยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ สาเหตุของกลิ่นปาก

 

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


ไอโอดีน (Iodine) จำเป็นต่อร่างกายอย่างไร ?

ไอโอดีน (Iodine)

เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย แม้ว่าร่างกายจะต้องการไอโอดีนในปริมาณเพียงเล็กน้อยแต่ก็มีความจำเป็นมากจนขาดไม่ได้ โดยเมื่อไอโอดีนเข้าสู่ร่างกายแล้วขะจับกับกรดอะมิโนไทโรซีน (Tyrosine) แล้วสร้างเป็นฮอร์โมนที่มีชื่อว่า "ไทรอกซิน" (Thyroxine) หรือไทรอยด์ฮอร์โมนที่ฟอลิเคิลเซลล์ในต่อมไทรอยด์ที่อยู่บริเวณคอ

ประโยชน์ของไอโอดีน

✔ จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการทางสมอง ความจำ และการทำงานของร่างกาย

✔ ช่วยควบคุมการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ซึ่งมีผลต่อการใช้พลังงาน และอุณหภูมิในร่างกาย

✔ ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส

✔ ช่วยเสริมการเจริญเติบโตของร่างกายและสมองของทารกในครรภ์

✔ ลดโอกาสการเกิดโรคคอพอก

แหล่งของไอโอดีน

✔ อาหารทะเลทุกชนิด (พบมากที่สุดในสาหร่ายทะเล)

✔ พืชที่ขึ้นบนดินที่มีไอโอดีนสูง เช่น ชา

✔ นอกจากนี้ ปัจจุบันยังมีการเพิ่มสารไอโอดีนลงในไข่ไก่ เกลือ น้ำปลา และเครื่องปรุงรสที่ใช้เกลือเป็นส่วนประกอบอีกด้วย

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


6 สาเหตุ ร่างกายเสื่อมก่อนวัยที่ไม่ควรมองข้าม

 

ไม่อยาก ร่างกายเสื่อม ก่อนวัย ต้องอ่าน !!

เป็นเรื่องปกติที่ร่างกายของเราจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือความเสื่อมที่เพิ่มมากขึ้นไปตามอายุ แต่คงไม่มีใครอยากปล่อยให้ร่างกายโทรมหรือเสื่อมก่อนวัยแน่นอน วันนี้เลยมี 6 สาเหตุที่ทำให้ ร่างกายเสื่อม ก่อนวัยมาฝากให้ทุกคนเช็คกันดีๆว่า คุณกำลังใช้ชีวิตไปกับปัจจัยที่ทำให้ร่างกายเสื่อมก่อนวัยเหล่านี้นี้หรือไม่ ?

 

ป้อนสารพิษสู่ร่างกายโดยไม่รู็ตัว!!

รอบๆตัวเราเต็มไปด้วยสารพิษที่แฝงอยู่มากมาย ทั้งอากาศ ข้าวของเครื่องใช้ พฤติกรรมที่ทำเป็นประจำ หรือแม้แต่น้ำดื่มที่เราดื่มเป็นประจำ มาดูกันว่าควรระวังอะไรกันบ้าง

สารพิษจากบุหรี่

ทุกคนคงรู้กันดีอยู่แล้วว่าบุหรี่มีสารก่อมะเร็ง แต่วันนี้เราจะมาเจาะลึกกันว่าสารก่อมะเร็งนั้นคืออะไร และมีโทษต่อร่างกยอย่างไรกันบ้าง ซึ่งสารเหล่านั้น ได้แก่ นิโคติน แอลกอฮอล์ฟีนอล สารแอลดีไฮด์อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน น้ำมันดิน คาร์บอนมอนอกไซด์ สารหนู ไอโดรเจนไซนาไนต์ ไนโตรเจนออกไซด์ ฟอร์มาลดีไฮด์ เบนซิน แคดเมียมโทลูอีน เบนโซไพรีน และยังมีสารกัมมันตรังสี เช่น สารโพโลเนียมอีกด้วย สารเหล่านี้เป็นสารอันตรายที่มีส่วนกระตุ้นทำให้เกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะตัวร้ายอย่างน้ำมันดิน เป็นสารที่รุนแรง เป็นสาเหตุของมะเร็งในช่องปาก และโรคเยื่อบุช่องปาก รวมทั้งทำให้ริมฝีปากดำอีกด้วย

อีกหนึ่งสารที่รู้จักกันดี คือ "นิโคติน" เป็นสารที่ทำให้เกิดการเสพติด และไปกระตุ้นเนื้อเยื่อสร้างสาร Catechuphenolamine ทำให้หลอดเลือดแข็งตัว หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูงขึ้น ระดับไขมันในเลือดสูงขึ้น และกล้ามเนื้อหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ นอกจากนี้ การสูบบุหรี่ยังทำให้เกิดสาร "คาร์บอนมอนอกไซด์" ซึ่งจะไปแย่งจับกับฮีโมโกบินแข่งกับออกซิเจน และจับได้ดีและเร็วกว่าด้วย ส่งผลให้เซลล์ในร่างกายได้รับออกซิเจนน้องลงจนเกิดความเสื่อมของเซลล์

นอกจากการเสื่อมภายในร่างกายแล้ว การสูบบุหรี่ยังทำให้กรดต่างๆในบุหรี่ เช่น ฟีนอล กัดกร่อนช่องปาก ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพช่องปาก และอาจกัดไปถึงอวันวะภายใน เช่น ปอด ทำลายขนเล็กๆที่บุผิว เยื่อบุทางเดินหายใจที่คอยดักจับฝุ่นละอองและเชื้อโรค และยังเพิ่มกรดในกระเพาะอาหาร เพิ่มความเสี่ยงที่ทำให้กระเพาะเป็นแผล

สารพิษจากสุรา

การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณน้อยจะกระตุ้นระบบประสาท ทำให้หลอดเลือดขยายตัว หายใจแรงขึ้น อาจทำให้เสียการทรงตัวและประสาททำงานช้าลง นอกจากนี้การดื่มแอลกอฮอล์ยังเข้าไปทำลายวิตามินบี1 วิตามินบี2 และขัดขวางการดูดซึมกรดโฟลิกและแคลเซียมอีกด้วย

โลหะหนัก

โลหะหนักอย่าง ปรอท ตะกั่ว ดีบุก อลูมิเนียม อาจมีการสะสมในร่างกายจนเกิดการทำลายเซลล์ไปจนถึงอวัยวะ และรบกวนการทำงานของร่างกายจนเกิดความเสื่อมอย่างช้าๆ โดยโลหะหนักเหล่านี้อาจมีการปนเปื้อนมากับยา น้ำหรืออาหารที่คนอาจมองข้าม เช่น อาหารประเภทปลา อาจมีสารปรอทปนเปื้อน หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารพวกน้ำมันปลา ก่อนรับประทานจึงต้องมั่นใจว่ามาจากแหล่งที่ปลอดภัย ปราศจากสารปนเปื้อน อย่างผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ไมันปลา ควรเลือกที่ผ่านการรับรองแล้วว่าผ่านมาตรฐานการตรวจสอบปรอทและตะกั่วแล้ว

 

ความเครียด พักผ่อนน้อย

การพักผ่อน เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญในการฟื้นฟูร่างกาย ซึ่งการพักผ่อนที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ ไม่ใช่การพักผ่อนด้วยการนอนเล่นสมาร์ทโฟนหรือดูโทรทัศน์ แต่เป็นการพักผ่อนโดยการ "นอนหลับ" นั่นเอง เพราะการนอนอย่างเพียงพอ และนอนในเวลาที่เหมาะสมจะช่วยให้ร่างกายได้ฟื้นฟูและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้เป็นอย่างดี ในทางตรงกันข้าม การนอนน้อยหรือพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้ ร่างกายเสื่อม ได้อย่างรวดเร็ว

 

ไม่ควบคุมน้ำหนัก

เช็คกันก่อนว่า ตอนนี้ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ของคุณอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่ ?

BMI (Body Mass Index) เป็นดัชนีชี้ค่าความอ้วนสำหรับคนอายุ 20 ปีขึ้นไป โดยสามารถคำนวณได้จากสูตรดังนี้

BMI = น้ำหนัก (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เมตร) ได้ผลลัพธ์ออกมาเท่าไหร่ สามารถนำมาแปรผลได้ดังนี้

  • BMI ต่ำกว่า 19 หมายความว่า รูปร่างผอม
  • BMI 20-24.9 หมายความว่า รูปร่างพิดี สมส่วน
  • BMI 25-29.9 หมายความว่า อ้วน น้ำหนักเกินมาตรฐาน
  • BMI 30 ขึ้นไป หมายความว่า อ้วนถึงขนาดเข้าข่ายการเป็นโรคอ้วน

ดังนั้น การควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสม ไม่ได้หมายถึงการหลีกเลี่ยง "ความอ้วน" เพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงการมีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ไม่ผอมจนเกินไปด้วยเช่นกัน

 

ทานอาหารไม่เหมาะสม

รู้กันดีอยู่แล้วว่าการรับประทานอาหารไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดโรคอ้วนและ ร่างกายเสื่อม แต่อย่าลืมว่าการรับประทานน้อยเกินไปก็อาจทำให้ร่างกายผอมเกินไป และส่งผลเสียต่อร่างกายได้เช่นกัน ดังนั้น การเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสมเป็นปัจจัยที่สำคัญในการมีสุขภาพที่ดี

โรคอ้วนมักเกิดจากการรับประทานอาหารพวกนมเนย อาหารไขมันสูง อาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงมากเกินไป ดังนั้น ถ้าไม่อยาก ร่างกายเสื่อม ก่อนวัย ควรหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้ หรือรับประทานแต่น้อย และควรเลือกรับประทานที่มีไขมันต่ำ และหลีกเลี่ยงอาหารพวกทอด ผัด แกงกะทิ และหันมาใช้วิธีประกอบอาหารที่ปราศจากน้ำมันแทน เช่น อบ นึ่ง เผา เพื่อลดการสะสมของไขมันเลว (LDL-cholesterol) ในร่างกาย นอกจากนี้ ควรควบคุมปริมาณอาหารที่รับประทานในแต่ละวันให้เหมาะสม เพราะสาเหตุของความอ้วนมักเกิดจากการรับประทานอาหารมากเกินไป ทำให้พลังงานที่ได้จากอาหารมีมากเกินความต้องการใช้ จนเกิดเป็นไขมันสะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย

 

ไม่ออกกำลังกาย

การไม่ออกกำลังกาย นอกจากจะมีผลต่อรูปร่างที่ขาดความเฟิร์มกระชับที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว ยังส่งผลต่อความแข็งแรงของร่างกายภายใน เช่น การทำงานของหัวใจและกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง และยังส่งผลต่อการเพิ่มโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกพรุนอีกด้วย

ดังนั้น ไม่ว่าค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ของคุณจะอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่ การออกกำลังกายยังเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพของทุกคนเสมอ ดังนั้น ควรจัดเวลาเพื่อออกกำลังโดยเฉพาะ เพื่อให้มั่นใจว่าร่างกายของคุณจะได้ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมอยู่เสมอ ซึ่งการออกกำลังกายนั้นมีหลายแบบให้เลือก ตามความชอบและความเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน โดยการออกกำลังกายสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลักๆ ได้แก่

  1. การออกกำลังกายหัวใจ (Cardio Exercise) เพื่อความแข็งแรงของระบบหัวใจ และหลอดเลือด เช่น การวิ่ง
  2. ออกกำลังกายเวทเทรนนิ่ง (Weight Training) เพิ่มความแข็งแรง และความทนทานของกล้ามเนื้อ เช่น การยกเวท
  3. ออกกำลังกายยืดเส้นเอ็น (Stretching) เพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ เช่น การเล่นโยคะ

 

มองข้ามการไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย

แม้ว่าคุณจะมั่นใจว่าใช้ชีวิตอย่างดี และมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงแล้ว แต่นั่นเป็นเพียงการสังเกตุได้จากภายนอกเท่านั้น เพราะเราไม่สามารถรู้ระบบการทำงานภายในร่างกายได้ว่ามีประสิทธิภาพอย่างไร ดังนั้น จึงควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพประจำปี อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อตรวจให้มั่นใจว่าระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆภายในร่างกายยังสามารถทำงานได้เป็นอย่างดี และเป็นสิ่งที่ไม่ควรนิ่งนอนใจหรือมองข้าม

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm