Nutrient

แมกนีเซียม เพื่อกระดูกและฟันที่แข็งแรง

 

"แมกนีเซียม" คงเป็นชื่อที่คุ้นหูกันอยู่แล้ว แต่รู้หรือไม่ว่า แมกนีเซียม มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร และเราจะได้รับสารแมกนีเซียมจากไหนได้บ้าง ?

แมกนีเซียม เป๋นแร่ธาตุชนิดหนึงที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งมีความจำเป็นต่อกระบวนการเผาผลาญของแคลเซียมและวิตามินซี เช่นเดียวกับฟอสฟอรัส โซเดียม และโพแทสเซียม ดังนั้น แมกนีเซียมจึงมีส่วนช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง นอกจากนี้ยังมีความจำเป็นต่อการทำงานของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ และยังสำคัญต่อการเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดให้เป็นพลังงาน


รู้จักกับ โสม ยอดฮิต! สารพัดประโยชน์ของราชาสมุนไพร

เชื่อว่าหลายๆคนคงรู้จัก "โสม" ทั้งในแบบรับประทานและเป็นส่วนผสมสุดฮิตในสกินแคร์ ขึ้นชื่อเรื่องบำรุงกำลังและความอ่อนเยาว์ แต่วันนี้เราจะมาเจาะลึกข้อมูลเกี่ยวกับโสมที่คุณอาจยังไม่รู้

 

"โสม" รู้จักกันมาในนามของยาบำรุงกำลังที่ชาวจีนนิยมใช้มานานกว่าพันปี และยังคงฮอตติดลมบนมาจนถึงทุกวันนี้ โดยมีการใช้อย่างแพร่หลายในหลายๆประเทศ รวมถึงประเทศไทยเองก็มีขายกันจำนวนมาก หรือไม่พลาดที่จะซื้อเป็นของฝากเวลาไปประเทศที่มีโสมขึ้นชื่ออย่างเกาหลีใต้หรือประเทศจีน แต่จริงๆแล้ว โสมมีหลายชนิด โดยโสมชนิดที่มักขายกันทั่วไป คือ โสมเอเชีย (Panax Ginseng) หรือที่เรียกกันง่ายๆว่า "โสมตะวันออก" อย่างโสมจีน โสมเกาหลี แต่ยังมีโสมชนิดอื่นๆ อย่างโสมอเมริกัน (Panax quinquefolius) และโสมไซบีเรีย (Eleutherococcus senticosus) ซึ่งโสมทั้งสองชนิดนี้ไม่จัดเป็นโสมแท้ แต่ก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายไม่ต่างจากโสมตะวันออก

 

ประโยชน์ของโสม

✔ เพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกาย

✔ เพิ่มการตอบสนองต่ออินซูลิน

✔ เพิ่มการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน

✔ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

✔ ลดการอักเสบที่สร้างจากเม็ดเลือดขาว

✔ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด

✔ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต

✔ มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ

✔ ช่วยให้ร่างกายขับสารพิษต่างๆเร็วขึ้น

✔ บรรเทาอาการหวัด

✔ ช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเอสโทรเจน บรรเทาอาการไม่สบายในช่วงวัยทอง

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


4 ผลวิจัยและเหตุผลดีๆที่สัตว์เลี้ยงช่วยให้อายุยืน

4 ผลวิจัยและเหตุผลดีๆ ที่ "สัตว์เลี้ยงช่วยให้อายุยืน"

 

สัตว์เลี้ยงช่วยทำให้ใจเย็นขึ้น

การลูบตัวสุนัขหรือแมวช่วยลดความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจได้ และช่วยเพิ่มระดับสารเซโรโทนินและโดปามีนในสมอง ซึ่งเป็นสารธรรมชาติในสมองที่ทำให้รู้สึกมีความสุขและใจเย็น

สัตว์เลี้ยงช่วยเพิ่มภูมิต้านทานในร่างกาย

ช่วยป้องกันฮอร์โมนที่เกิดจากความเครียดไม่ให้ไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้มีผลเสียต่อร่างกายหลายรูปแบบ

 


สัตว์เลี้ยงช่วยให้อายุยืน

การเลี้ยงสุนัขจะช่วยให้ผู้ป่วยที่เคยหัวใจวายมีอายุยืน มีการศึกษาโดยให้ผู้ที่เคยหัวใจวายมาแล้ว 421 รายเลี้ยงสุนัข เมื่อผ่านไป 1 ปี ผู้ที่เลี้ยงสุนัขจะมีอายุยืนมากกว่าผู้ที่ไม่เลี้ยง


สัตว์เลี้ยงพาออกกำลังกาย

มีผลงานวิจัยหลายชิ้นระบุว่า ผู้ที่มีสัตว์เลี้ยงจะได้ออกกำลังกายมากกว่าคนทั่วไป เพราะผู้ที่เลี้ยงสุนัขและพาสุนัขออกไปเดินเล่นเป็นประจำ มีน้ำหนักน้อยกว่าผู้ที่ไม่มีสัตว์เลี้ยง หรือไมีแต่ไม่พาออกไปเดินเล่น ดังนั้น การพากันไปเดินเล่นออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ดีทั้งสำหรับเจ้าของและสัตว์เลี้ยงแน่นอน

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


รวม 4 วิธี เทคนิคพิชิตใจ ลูกกินยาก

 

ปัญหาลูกทานยาก ไม่เจริญอาหาร เป็นปัญหาหนักใจของคุณพ่อคุณแม่หลายท่าน วันนี้เรามีวิธีดีๆ ให้คุณพ่อคุณแม่ลองทำตาม ลองดูกันว่าจะพิชิตใจเหล่าตัวน้อยได้หรือไม่

 

1. ตรวจร่างกาย ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง

ประเมินภาวะโภชนาการของเด็ก ด้วยการสังเกตกราฟการเจริญเติบโต ด้วยการชั่งน้ำหนัก และวัดส่วนสูงเทียบกับเกณฑ์ปกติตามวัยของลูก และบันทึกชนิด ปริมาณของอาการที่ลูกกินเข้าไป รวมทั้งขนม และนมในแต่ละมื้อ และแต่ละวันด้วย
สูตรการคำนวณน้ำหนักตามอายุ (ใช้ได้ตั้งแต่อายุ 1-10 ขวบ) น้ำหนักเฉลี่ย = 8 + (2 x อายุเป็นปี)ช่วงน้ำหนักปกติ จะมากหรือน้อยกว่าน้ำหนักเฉลี่ยที่คำนวณได้ตามสูตรประมาณ 2 กิโลกรัม

 


2. ต้องแน่ใจว่าลูกจะหิวเมื่อถึงเวลากิน

คุณพ่อ หรือคุณแม่ต้องให้ลูกกินเป็นเวลา โดยกำหนดเวลารับประทานอาหารแต่ละมื้อให้ชัดเจน ถ้าลูกเกเรไม่ยอมกินภายใน 30 นาที 1 ชั่วโมง ให้เก็บรอในอีกมื้อถัดไป ถ้าในเด็กที่มีอาการขาดอาหาร หรือวิตามิน อาจให้วิตามินรวมสูตรสำหรับเด็กเบื่ออาหาร เพื่อกระตุ้นความอยากอาหารได้


3. อาหารต้องน่ากิน

การฝึกการกินของลูก ช่วงแรกเริ่มควรเตรียมแต่อาหารที่ลูกชอบ กินง่าย ตกแต่งให้น่ากิน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้อยากกินเอง เป้าหมายสำคัญคือ การสร้างวินัยในการกิน จนลูกปฏิบัติได้สม่ำเสมอ


4. ตักอาหารทีละน้อยๆ

คุณพ่อคุณแม่ควรตักอาหารครั้งละน้อยๆ ให้ลูกมีกำลังใจว่ากินได้หมด รวมทั้งควรให้ลูกตักด้วยตัวเอง ถ้าหมดแล้วจึงค่อยเติม เพื่อที่ลูกจะได้ไม่เคยชินกับการกินเหลือ หรือต้องถูกบังคับให้กินจนหมดจาน

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm

 


วิตามินอี กับ 5 ประโยชน์ที่มีดีมากกว่าบำรุงผิวชุ่มชื้น

หลายคนคงรู้จักกับ วิตามินอี (Vitamin E) ในรูปแบบทั้งการรับประทานและการทาบำรุงผิว เพราะมีชื่อเสียงในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง ซึ่งเป็นพื้นฐานของผิวสวยสุขภาพดี แต่จริงๆแล้ววิตามินอียังไม่ประโยชน์ต่อร่างกายในอีกหลายๆส่วน

 

วิตามินอี ช่วยต้านอนุมูลอิสระ

 

ทำให้ผิวชุ่มชื้น ลดรอยแผล

 

บำรุงประสาทและกล้ามเนื้อ

 

ช่วยในการไหลเวียนของเลือด และป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


ไม่อยากไป 2 กลับ 3 ต้องทำยังไง ?

 

วางแผนไว้ก่อนยังไงก็ชัวร์กว่า ถ้ารู้ตัวว่าจะมีนัด หรือนัดกันอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ก็ทานยาคุมแบบรายเดือนไว้ซะเลย สบายใจสุดๆ ไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องนับถอยหลังวันไข่ตก เพราะยาคุมรายเดือนแบบปกติสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ถึง 99.7% หรือมีโอกาสพลาด น้อยกว่า 1 ใน 300 คนซะอีก

พลาดไปแล้วต้องทำไง ไม่ต้องกลัวๆ ทีมฉุกเฉินมารวมกันทางนี้

เรารู้ว่าเหตุไม่คาดฝันเกิดได้เสมอ ทั้งลืมป้องกัน หรือป้องกันแล้วหลุด! พลาดไปแล้วอย่ามัวตกใจ ตั้งสติให้ได้ภายใน 72 ชั่วโมง เพราะยาคุมฉุกเฉินจะออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด ต่อเมื่อทานหลังเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกันโดยเร็วที่สุด และไม่เกิน 72 ชั่วโมงเท่านั้น

ฉุกเฉินแล้ว...ฉุกเฉินอีก ก็ได้หรอ?

ได้ค่ะ! ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็สามารถใช้ยาคุมฉุกเฉินได้เสมอ แค่ระวังอย่าให้เกินเดือนละ 2 ครั้ง เพราะถ้ามีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกันบ่อยกว่านั้น แนะนำให้ใช้ยาคุมกำเนิดแบบรายเดือนเลยดีกว่าค่ะ จะได้ช่วยกำหนดรอบเดือน และไม่ต้องกังวลเรื่องอาการข้างเคียงได้ด้วย

ทริปนี้ไม่ผิดแผนแน่ ถ้าเลือกวางแผนไว้ล่วงหน้า และมีสติ หากมีอะไรผิดพลาด กู้สถานการณ์ให้ทันเวลา ใน 72 ชั่วโมง

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


ยาแก้ปวดประจำเดือน เลือกอย่างไร ไม่ให้กัดกระเพาะ

 

สาวๆหลายคนคงเจอปัญหาปวดท้องเมื่อถึงวันนั้นของเดือน ซึ่งมักจะรบกวนกิจวัตรประจำวัน และมีสาวๆจำนวนมากที่เลือกจะกินยาแก้ปวดประจำเดือน แต่รู้หรือไม่ว่า... ยาแก้ปวดประจำเดือน มีหลายชนิด โดยยาบางชนิดมีการพัฒนาให้มีความปลอดภัยในการใช้ยาเพิ่มมากขึ้น เช่น การพัฒนาให้ยาไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร ดังนั้นจึงกินเวลาไหนก็ได้ โดยไม่ต้องกังวัล และยังพัฒนาให้กินเพียงวันละครั้งก็สามารถลดอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว เช่น ตัวยา Etoricoxib 

 

 

 

 

มีหลายการศึกษาเปรียบเทียบตัวยาทั้ง 2 กลุ่ม คือ Mefenamic และ Etoricoxib  พบว่ายา Etoricoxib สามารถลดอาการปวดเมนส์ และ ลดการสูญเสียเลือดประจําเดือนได้ดีกว่าอย่างมีนัยสําคัญ และแทบไม่พบอาการไม่พึงประสงค์  เช่น อาการระคายเคืองกระเพาะอาหาร ขณะที่ยาอีกกลุ่มหนึ่งมีมากถึง 40%

 

 

  1. I. Nor Azlin,I. Maryasalwati,M. N. Norzilawati,Z. A. Mahdy,M. A. Jamil &M. R. Zainul Rashid

Pages 424-426 | Published online: 02 Jul 2009

 

ดั้งนั้นการเลือกยาแก้ปวดประจำเดือนนอกจากเลือกจากความสามารถลดอาการปวดได้แล้ว อาจต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในด้านอื่นๆ เช่น  การระคายเคืองกระเพาะอาหาร ประวัติการแพ้ยา และโรคประจำตัวของผู้ป่วย เช่น ผู้ที่มีแผลในทางเดินอาหาร เป็นโรคตับหรือไตบกพร่องรุนแรง เป็นต้น ดังนั้น จึงแนะนำให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา

 

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


ไอโอดีน (Iodine) จำเป็นต่อร่างกายอย่างไร ?

ไอโอดีน (Iodine)

เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย แม้ว่าร่างกายจะต้องการไอโอดีนในปริมาณเพียงเล็กน้อยแต่ก็มีความจำเป็นมากจนขาดไม่ได้ โดยเมื่อไอโอดีนเข้าสู่ร่างกายแล้วขะจับกับกรดอะมิโนไทโรซีน (Tyrosine) แล้วสร้างเป็นฮอร์โมนที่มีชื่อว่า "ไทรอกซิน" (Thyroxine) หรือไทรอยด์ฮอร์โมนที่ฟอลิเคิลเซลล์ในต่อมไทรอยด์ที่อยู่บริเวณคอ

ประโยชน์ของไอโอดีน

✔ จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการทางสมอง ความจำ และการทำงานของร่างกาย

✔ ช่วยควบคุมการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ซึ่งมีผลต่อการใช้พลังงาน และอุณหภูมิในร่างกาย

✔ ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส

✔ ช่วยเสริมการเจริญเติบโตของร่างกายและสมองของทารกในครรภ์

✔ ลดโอกาสการเกิดโรคคอพอก

แหล่งของไอโอดีน

✔ อาหารทะเลทุกชนิด (พบมากที่สุดในสาหร่ายทะเล)

✔ พืชที่ขึ้นบนดินที่มีไอโอดีนสูง เช่น ชา

✔ นอกจากนี้ ปัจจุบันยังมีการเพิ่มสารไอโอดีนลงในไข่ไก่ เกลือ น้ำปลา และเครื่องปรุงรสที่ใช้เกลือเป็นส่วนประกอบอีกด้วย

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


รู้จักกับ "วิตามินดี" แล้วจะรู้ว่ามีดีกว่าที่คิด !!

วิตามินดี (Vitamin D)

วิตามินดี (Cholecalcifero) เป็นที่รู้จักกันดีในนามของ "วิตามินแดด"  หลายๆคนอาจมองข้ามการเสริมวิตามินดี แต่จริงๆแล้ววิตามินดีเป็นวิตามินที่สามารถช่วยเสริมประสิทธิภาพการดูดซึมและการทำงานของวิตามินและแร่ธาตุอีกหลายชนิด เช่น แคลเซียม วิตามินเอ วิตามินซี ดังนั้น วิตามินดีเป็นอีกหนึ่งวิตามินที่สายเฮลท์ตี้ตัวจริงไม่ควรพลาด !

หน้าที่ของวิตามินดี

วิตามินดี เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับ Metabolism ของแคลเซียม และฟอสฟอรัล โดยการดูดซึมเข้ามาสะสมในร่างกาย เพื่อใช้สำหรับเสริมสร้างกระดูก กระดูกอ่อน ฟัน และเล็บ ดังนั้น การรับประทานวิตามินดีร่วมกับแคลเซียมเป็นประจำ จะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมได้ดียิ่งขึ้น

แหล่งของวิตามินดี

  • ร่างกายได้รับวิตามินดีจากอาหาร เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาเฮร์ริง ปลาแซลมอน ปลาทูน่า นม และผลิตภัณฑ์จากนม ซึ่งวิตามินดีที่เรารับประทานเข้าไปจะถูกดูดซึมพร้อมไขมันผ่านางผนังลำไส้
  • นอกจากนี้ร่างกายยังสามารถได้รับ วิตามินดี จากแสงแดด จึงเป็นที่มาของชื่อ "วิตามินแดด" โดยรังสียูวีจากแสงแดดจะทำปฏิกิริยากับน้ำมันที่ผิวหนัง ก่อให้เกิดการสร้างวิตามินและจะถูกดูดซึมกลับเข้าสู่ร่างกาย

 

เราต้องการวิตามินดีวันละเท่าไหร่ ?

โดยเฉลี่ยแล้วในทุกช่วงอายุ ร่างกายจะต้องการวิตามินดีวันละประมาณ 200-400 IU

 

วิตามินดี มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร ?

  • ส่งเสริมการใช้แคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งจำเป็นต่อความแข็งแรงของกระดูกและฟัน
  • หากรับประทานวิตามินดี ร่วมกับวิตามินเอและซี จะช่วยในการป้องกันโรคหวัดได้
  • ช่วยในการรักษาโรคเยื่อบุตาอักเสบ
  • ช่วยในการดูดซึมของวิตามินเอ

 

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าร่างกายขาดวิตามินดี ?

  • การขาดวิตามินดีในเด็ก อาจทำให้เกิดโรคกระดูกอ่อน (Riskets) โดยกระดูกขาจะโก่ง หรือหัวเข่าชนกัน กระดูกหน้าอกผิดรูป กระดูกข้อมือ ข้อเท้ามีขนาดใหญ่ผิดปกติ ขากรรไกรแคบ ทำให้ฟันเก บิดเบี้ยว หรือมีฟันผุขั้นรุนแรง
  • ส่วนในผู้ใหญ่ อาจทำให้กระดูกไม่แข็งแรงและหักง่าย รวมถึงมีภาวะกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


ถ้าอยาก "สมองดี" ให้ DHA เป็นตัวช่วย !!

รู้หรือไม่ ?? มีสารอะไรในน้ำมันปลา

น้ำมันปลา จัดอยู่ในสารอาหารประเภทไขมัน ซึ่งเป็นแหล่งของกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย คือ กรดไขมันโอเมก้า-3 (Omega-3) ซึ่งโอเมก้า-3 ที่พบในน้ำมันปลามี 2 ชนิด คือ EPA และ DHA

  1. EPA (Eicosapentaenoic Acid) มีคุณสมบัติในการลดไขมัน ไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ลดคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL Cholesterol) ในเลือด ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด ป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือดซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคหลอดเลือดสมองตีบตันและหัวใจขาดเลือด จึงลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
  2. DHA (Docosahexaenoic Acid) เป็นกรดไขมันที่เป็นส่วนประกอบของสมองและดวงตา ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง การเรียนรู้ ความจำ DHA จึงจำเป็นต่อการเจริญเติบตาด้านสมองและดวงตาของเด็กๆ

 

คงได้ยินกันบ่อยๆว่า DHA มีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง จึงมีผสมอยู่ในอาหารและเครื่องดื่มสำหรับเด็กๆมากมาย วันนี้เราจะมาดูกันว่าจริงๆแล้ว DHA คืออะไร และมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไรบ้าง ?

DHA (Docosahexaenoic Acid) เป็นกรดไขมันที่เป็นส่วนประกอบของสมองและดวงตา ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง การเรียนรู้ ความจำ DHA จึงจำเป็นต่อการเจริญเติบตาด้านสมองและดวงตาของเด็กๆ

ดังนั้น DHA จึงเป็นสารที่จำเป็นและมีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของเด็กๆ ที่ไม่ควรมองข้าม

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


รู้หรือไม่ Astaxanthin ช่วยดูแลดวงตาได้

 

 

ถ้าพูดถึงสารต้านอนุมูลอิสระที่กำลังมาแรงที่สุดในช่วงนี้ คงหนีไม่พ้น "แอสตาแซนธิน" (Astaxanthin) ซึ่งช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้ดีมาก แต่นอกจากนั้น ยังสามารถบำรุงสายตาได้ดีมากอีกด้วย

แอสตาแซนธิน คืออะไร ?

แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) เป็นสารสีส้มแดงในกลุ่มแคโรทีนอยด์ แต่มีข้อแตกต่างจากสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์อื่นๆ คือ แอสตาแซนธินจะไม่สามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้

แอสตาแซนธินพบได้มากในสาหร่ายขนาดเล็ก เช่น Haematococcus pluvialis ยีสต์ ปลาแซลมอนที่มาจากทะเลเท่านั้น (แซลมอนเลี้ยง จะไม่มีแอสตาแซนธิน เพราะปลาสร้างแอสตาแซนธินเองไม่ได้ ต้องได้รับจากการกินสาหร่ายเข้าไป)

 

แอสตาแซนธิน มีประโยชน์อะไรบ้าง ?

✔ แอสตาแซนธินมีฟทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระได้ดีมาก

✔ บำรุงระบบประสาท ลดโอกาสการเกิดโรคสมองเสื่อม

✔ เพิ่มประสิทธิภาพของระบบไหลเวียนโลหิต

✔ ช่วยชะลอวับ ป้องกันและลดการเกิดริ้วรอย

✔ บำรุงสายตา ลดอาการตาล้า

✔ ช่วยเสริมประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกัน

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


วิตามินเอฟ (Linoleic acid) คืออะไร ?

วิตามินเอฟ (Linoleic acid)

วันนี้พามารู้จักกับ "วิตามินเอฟ" ชื่อนี้อาจจะยังไม่คุ้นหูเท่าไหร่ เพราะส่วนมากจะรู้จักกันในนาม "Linoleic acid" มีหน้าที่เผาผลาญไขมันอิ่มตัว จึงลดน้ำหนักและลดไขมันชนิดไม่ดีในร่างกาย ป้องกันไขมันเกาะติดหลอดเลือด ส่งผลให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น ช่วยในการเปลี่ยนเบต้าคาโรทีนเป็นวิตามินเอ นอกจากนี้วิตามินยังมีกรดไขมันอิ่มตัวชนิดอื่นๆ เช่น ไลโนเลนิก และอะราคิโดนิกด้วย ซึ่งวิตามินเอห เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน มีหน่วยวัดเป็นมิลลิกรัม ซึ่งยังไม่ได้มีขนาดที่แนะนำให้รับประทานในแต่ละวันอย่างเป็นทางการ

แหล่งอาหารที่มีวิตามินเอฟ (Linoleic acid)

วิตามินเอฟ เป็นวิตามินที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ได้ จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร ซึ่งแหล่งอาหารที่มีวิตามินเอฟมาก คือ น้ำมันข้าวโพด น้ำมันฝ้าย  น้ำมันงา  น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันถั่วเหลืองและถั่วต่างๆ เช่น ถั่วลิสง เมล็ดฟังทอง วอลนัท พีแคน อัลมอนด์ และอะโวคาโด

วิตามินเอฟ ดียังไง ?

  • ช่วยป้องกันไม่ให้คอเลสเตอรอลสะสมที่ผนังหลอดเลือด
  • ช่วยให้เส้นผมและผิวพรรณมีสุขภาพดี
  • ช่วยป้องกันอันตรายจากรังสีเอกซเรย์ได้ในระดับหนึ่ง
  • ช่วยในเรื่องการเจริญเติบโตและสุขภาพโดยรวม โดยกระตุ้นการทำงานของต่อมเซลล์ต่างๆ และทำให้เซลล์ต่างๆได้รับแคลเซียม
  • ช่วยลดน้ำหนัก โดยส่งเสริมกระบวนการเผาผลาญไขมันอิ่มตัว

 

โรคที่เกิดจากการขาดวิตามินเอฟ

  • ผื่นผิวหนังอักเสบชนิดเอ็กซีมา
  • การเกิดสิว

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


อย่ามองข้าม... อาการของ "โรคไต"

 

📌 ไต มีหน้าที่ขับถ่ายของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญอาหารประเภทโปรตีน ควบคุมปริมาณน้ำและเกลือแร่ที่เกินความจำเป็นโดยขับออกทางปัสสาวะ และควบคุมการทำงานของฮอร์โมน

📌 อาการของโรคไต การอักเสบที่หลอดเลือดฝอยในไตจะเกิดขึ้นทีละน้อย อาการเมื่อเป็นเริ่มเป็นโรคไตจึงไม่ชัดเจน แต่หลังจากนั้นจะเริ่มมีอาการ เช่น

☑️ มีอาการบวมที่มือ

☑️ อ่อนเพลีย อ่อนแรง

☑️ ปวดศีระษะ ปวดเอว

☑️ คลื่นไส้อาเจียน

☑️ ปัสสาวะบ่อย

☑️ กระสับกระส่าย นอนไม่หลับ

☑️ มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านความรู้สึก เช่น ซึมเศร้า ความจำเสื่อม

☑️ ส่วนโรคไตระยะรุนแรงมีอาการขาดโปรตีนมาก ทำให้ตัวบวม

 

เลือกอาหารยังไง ? ลดความเสี่ยงโรคไต

  • เลือกรับประทานอาหารที่มีเกลือต่ำ
  • หลีกเลี่ยงเครื่องปรุงที่มีเกลือมาก เช่น ซุปก้อน ผงชูรส ผงฟู
  • หลีกเลี่ยงอาหารกึ่งสำเร็จรูป เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


วิตามิน บี การ์ดพิทักษ์เซลล์ประสาทและสมอง

รู้จัก "วิตามินบี" ให้มากขึ้น

 

วิตามินบี 1

วิตามินบี 1 (Vitamin B1)

วิตามินบี 1 หรือไทอามีน (Thiamine) เป็นวิตามินบีที่มีความโดดเด่นในการช่วยรักษาโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาท ซึ่งช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ นอกจากนั้น ยังสามารถช่วยเผาผลาญอาหารเพื่อนำไปใช้ใช้เป็นพลังงานแก่ร่างกาย ช่วยให้อยากอาหาร และยังจำเป็นต่อสมอง กล้ามเนื้อหัวใจ

ปริมาณที่แนะนำต่อวัน

ร่างกายต้องการวิตามินบี 1 วันละ 1.5 มิลลิกรัม (หากรับประทานมากเกินไปจะถูกขับออกทางปัสสาวะ เพราะวิตามินบี 1 ละลายในน้ำ)

อาการเมื่อขาดวิตามินบี 1

ทำให้เป็นโรคเหน็บชา หรืออาจพบอาการช้า กล้ามเนื้อแขนขาไม่มีแรง ส่งผลไปถึงร่างกายอ่อนเพลีย หลงลืมง่าย ไปจนถึงกล้ามเนื้อตาอ่อนล้า หากเป็นมากอาจมีอาการใจสั่น หัวใจโตและเต้นเร็ว มีอาการหอบ เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร ร่างกายหยุดการเจริญเติบโตได้

ในเด็กที่ขาดวิตามินบี 1 (Infantile beri-beri) จะร้องเสียงแหลมเพราะหงุดหงิด ขาดน้ำตาล มีอาการหอบ หรืออ้าปากร้องแต่ไม่มีเสียงเพราะกล่องเสียงเป็นอัมพาต และเสียชีวิตภายใน 2 ชั่วโมง

ในวัยผู้ใหญ่ หากขาดวิตามินบี 1 เรียกว่า เหน็บชาแห้ง จะมีอาการชา กล้ามเนื้อลีบ และอีกกลุ่มหนึ่งเรียกว่า เหน็บชาเปียก จะมีอาการชาและบวม เมื่อกดเนื้อแล้วเนื้อจะบุ๋ม ไม่เด้งคืนตัว เมื่อยิดมือแล้วแขนสั่น และอีกกลุ่มหนึ่งได้รับผลกระทบทางสมอง เรียกว่า เวอร์นิคโคซาคอฟ (Wernicke-Korsakoff syndrome) สมองเสียประสิทธิภาพ และมีการพบว่าผู้ป่วยอัลไซเมอร์จะมีวิตามินบี 1 ต่ำ

 

วิตามินบี

วิตามินบี 2 (Vitamin B2)

วิตามินบี 2 หรือไรโบฟลาวิน (Riboflavin) ช่วยให้ร่างกายได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ซึ่งช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย การสร้างเส้นผม ผิวหนัง เล็บ ช่วยให้ผิวสุขภาพดี ช่วยในการผลิตเม็ดเลือดแดง ซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และสามารถช่วยลดความรุนแรงของไมเกรนได้

ปริมาณที่แนะนำต่อวัน

ร่างกายต้องการวิตามินบี 2

เด็กททารก 0.3-0.4 มิลลิกรัมต่อวัน

เด็ก 0.6-0.9 มิลลิกรัมต่อวัน

ผู้ชาย 1.3 มิลลิกรัมต่อวัน

ผู้หญิง 1.1 มิลลิกรัมต่อวัน

สตรีมีครรภ์ 1.4 มิลลิกรัมต่อวัน

สตรีให้นมบุตร 1 มิลลิกรัมต่อวัน

อาการเมื่อขาดวิตามินบี 2

การขาดวิตามินบี ทำให้เกิดแผลที่มุมปากทั้งสองข้าง ที่เรียกว่า ปากนกกระจอก (Angular stomatitis) ผิวหนังแห้งและแตก ลิ้นอักเสบ เจ็บลิ้น แผลร้อนใน ผิวไวต่อแสง ตาแพ้แสงแดด กลัวแสง ผิวรอบจมูก คิ้ว และหูลอก คาแดงคัน มีผื่น น้ำตาไหล ตัวเหลือง ขาบวม ระบบการทำงานของระบบประสาทผิดปกติ รู้สึกอ่อนเพลีย

 

วิตามินบี 3

วิตามินบี 3 (Vitamin B3)

วิตามินบี 3 หรือไนอะซิน (Niacin) เชื่อว่าปัจจุบันหลายๆคนคงเคยได้ยินคุณสมบัติของวิตามินบี 3 กันมากขึ้น โดยเฉพาะในวงการสกินแคร์ ที่มักมีวิตามินบี 3 เป็นส่วนผสมในสกินแคร์ต่างๆ แต่จริงๆแล้ว วิตามินบี 3 ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายในส่วนอื่นๆอีกมากมาย เพราะวิตามินบี 3 ช่วยให้ร่างกายได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต ไขมัน ลดคอเลสเตอรอล ควบคุมน้ำตาลในเลือด ขยายหลอดเลือดเล็กๆ ช่วยในการไหลเวียนของเลือด กำจัดสารก่อการแพ้ฮีสตามีนที่ทำให้เกิดอาการคัน บรรเทาอาการข้ออักเสบ บรรเทาอาการซึมเศร้า ช่วยให้ระบบย่อยอาหาร ระบบประสาท และผิวหนังมีความสมบูรณ์และมีสุขภาพดี

ปริมาณที่แนะนำต่อวัน

ร่างกายต้องการวิตามินบี 3 วันละ 19 มิลลิกรัม

อาการเมื่อขาดวิตามินบี 3

อาการเมื่อร่างกายขาดวิตามินบี 3 ไม่นาน จะทำให้ท้องเสีย มีผื่น แต่ถ้าขาดรุนแรงและขาดเป็นเวลานานจะเปนโรคผิวที่โดนแสงแล้วเป็นผื่นดำ เรียกว่า เพลลากรา และมีอาการเบื่ออาหาร อาหารไม่ย่อย คลื่นไส้อาเจียน หลับยาก ความจำไม่ดี

 

วิตามินบี

วิตามินบี 5 (Vitamin B5)

วิตามินบี 5 ช่วยในการเผาผลาญไขมัน คาร์โบไฮเดรต เสริมการหลั่งฮอร์โมนต้านการแพ้ บำรุงผิวพรรณและเส้นผม และต่อต้านความเครียด

ปริมาณที่แนะนำต่อวัน

ร่างกายต้องการวิตามินบี 5 วันละ 4-7 มิลลิกรัม

อาการเมื่อขาดวิตามินบี 5

ร่างกายจะมีอาการล้า เหน็บชา ซึมเศร้า เบื่ออาหาร อาเจียน และนอนไม่หลับ

 

วิตามินบี

วิตามินบี 6 (Vitamin B6)

วิตามินบี 6 ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน สร้างเนื้อเยื่อและการเจริญเติบโตเผาผลาญไขมัน และคาร์โบไฮเดรตและเป็นพลังงาน ช่วยในการทำงานของระบบย่อยอาหาร ช่วยบำรุงผิวหนัง เป็นสารที่จำเป็นในการทำงานของระบบประสาท ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง (ฮีโมโลบิน) บรรเทาอาการเจ็บหน้าอกและปวดมดลูกก่อนมีประจำเดือน ลดการคลื่นไส้ อาเจียนในสรีมีครรภ์

ปริมาณที่แนะนำต่อวัน

ร่างกายต้องการวิตามินบี 6 วันละ 2 มิลลิกรัม

อาการเมื่อขาดวิตามินบี 6

หากร่างกายขาดวิตามินบี 6 อาจทำให้ผิวหนังอักเสบ คันตามผิวหนัง เกิดผื่น เกิดสิว ปากแห้งแตก ลิ้นอักเสบ เล็บเป็นคลื่น ผมร่วง กระดูกผุ ข้อเสื่อม ปวดตามมือตามเท้า ประสาทเสื่อม ลมชัก นอนไม่หลับ หงุดหงิด ซึมเศร้า อ่อนเพลีย เจ็บหน้าอก บวมก่อนมีประจำเดือน

 

ไบโอติน

วิตามินบี 7 หรือไบโอติน (Biotin)

หลายคนคงเคยได้ยินชื่อ "ไบโอติน" ในการเป็นตัวช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง แต่จริงๆแล้วไบโอตินยังจำเป็นต่อกระบวนการเผาผลาญไขมัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานให้ร่างกาย จึงสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ไบโอตินยังช่วยในการผลิตกรดไขมันเพื่อสุขภาพผิว เส้นผม ป้องกันผมหงอกก่อนวัย จึงช่วยในการรักษาสุขภาพของผิวหนัง ผม ระบบประสาท และไขกระดูกและยังช่วยในการผลิตฮอร์โมนเพศในช่วงวัยรุ่น และยังมีส่วนช่วยในการผลิตกรดอะมิโน จังจำเป็นต่อการเจริญเติบโต

ปริมาณที่แนะนำต่อวัน

ร่างกายต้องการไบโอตินวันละ 30-100 ไมโครกรัม

อาการเมื่อขาดไบโอติน

ทำให้ผิวหนังแห้ง ผิวหนังแตก เกิดสะเก็ดรอบจมูก ผมร่วง ผมเปราะ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ซึมเศร้า

 

วิตามินบี

วิตามินบี 12 (Vitamin B12)

วิตามินบี 12 หรือไซยาโนโคบาลามิน ช่วยในการสร้างโปรตีน ช่วยสร้างกรดอะมิโนเมทไธโอนีน ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง ลดการซึมเศร้า ต้านอาการเหน็บชา ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

ปริมาณที่แนะนำต่อวัน

ร่างกายต้องการวิตามินบี 12 วันละ 1-2 ไมโครกรัม

อาการเมื่อขาดวิตามินบี 12

โลหิตจาง เม็ดเลือดแดงมีขนาดใหญ่ อ่อนเพลีย เจ็บลิ้น เจ็บปาก การเจริญเติบโตในเด็กไม่เป็นไปตามปกติ ขาดสมาธิ เครียด กล้ามเนื้อเจ็บตึง อัมพาต

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


ไขมันดี VS ไขมันเลว เลือกกินยังไงให้สุขภาพดี ?

 

เรื่องที่คุณอาจยังไม่รู้ เกี่ยวกับ

"ไขมัน"

 

เชื่อว่าหลายๆคน แค่ได้ยินคำว่า "ไขมัน" ก็อยากจะหลีกเลี่ยงไปให้ไกลๆ แต่จริงๆแล้วไขมันมีอะไรมากกว่าแค่ทำให้ "อ้วน" เพราะจริงๆแล้วไขมันมีหน้าที่ต่างๆมากมายที่ช่วยในกลไกการทำงานของร่างกาย แน่นอนว่ามีทั้งประโยชน์และโทษ เพราะฉะนั้น วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจ "ไขมัน" กันใหม่ !!

คอเลสเตอรอล (Cholesterol) คืออะไร ??

คอเลสเตอรอล คือ อนุภาคไขมันซึ่งผลิตขึ้นที่ตับและนำส่งไปที่เซลล์ต่างๆ เป็นสาตั้งต้นในการสร้างฮอร์โมนเพศ และสร้างสารสเตอรอลที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังเพื่อเปลี่ยนเป็นวิตามินดีเมื่อผิวสัมผัสกับแสงแดด และยังทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบหนึ่งของผนังเซลล์

ใน 1 วัน ควรได้รับคอเลสเตอรอลเท่าไหร่ ?

ในหนึ่งวันเราควรได้รับคอเลสเตอรอลไม่เกิน 200-300 มิลลิกรัม เพราะถึงแม้ว่าคอเลสเตอรอลจะมีประโยชน์ต่อการทำงานของกลไกในร่างกายบางส่วน แต่การได้รับคอเลสเตอรอลในปริมาณที่มากเกินไปจะส่งผลเสียต่อร่างกายและควรระมัดระวังอย่างมาก ซึ่งการที่ร่างกายจะได้รับคอเลสเตอรอลเข้าไปนั้นก็มาจากการรับประทานอาหารต่างๆนั่นเอง ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องรู้ว่าอาหารอะไรให้ไขมันชนิดไหนกันบ้าง โดยคอเลสเตอรอลที่ควรรู้จักแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ

  1. ชนิดไขมันดี (High Density Lipoprotien) หรือ HDL
  2. ชนิดไขมันเลว (Low Density Lipoprotein) หรือ LDL

 

ไขมัน

ไขมันดี (High Density Lipoprotien) หรือ HDL 

เป็นไขมันที่เปรียบเสมือนพาหนะบรรทุกไลโปโปรตีน (Lipoprotein) ที่มีความหนาแน่นสูง โดยจะขนส่งไขมันในเลือดทั่วร่างกายไปทำลายที่ตับ ไขมัน HDL จึงเป็นไขมันชนิดที่ดีต่อร่างกาย ดังนั้น เมื่อร่างกายมีปริมาณไขมัน HDL สูง ก็จะเป็นผลดีต่อสุขภาพ ซึ่งโดยปกติแลวระดับไขมัน HDL ในผู้ชายจะมากกว่า 60 มิลลิกรัม/เดซิลิตร (หากน้อยกว่า 40 มิลลิกรัม/เดซิลิตรถือว่าอยู่ในภาวะเสี่ยง)  และผู้หญิงควรมีมากกว่า 60 มิลลิกรัม/เดซิลิตร (หากน้อยกว่า 50 มิลลิกรัม/เดซิลิตรถือว่าอยู่ในภาวะเสี่ยง)

 

ไขมันดี

อาหารแหล่งไขมันดี (HDL)

✔ น้ำมันมะกอก

✔ ถั่วและพืชมีฝัก

✔ โฮลเกรน (ธัญพืชไม่ขัดสี) ข้าวกล้อง

✔ ผลไม้ไฟเบอร์สูง เช่น พรุน แอปเปิล ลูกแพร์

✔ ปลาแซลมอน ปลาแมกเคอเรล ปลาซาร์ดีน ปลาเทราต์สายรุ้ง ปลาทูน่าชนิดอัลบอคอร์

✔ เมล็ดแฟลกซ์

✔ บราซิลนัต (ถั่วบราซิล) อัลมอนด์ พิสตาซิโอ ถั่วลิสง

✔ เมล็ดเจีย

✔ อะโวคาโด

✔ ถั่วเหลืองและผลิตภัรฑ์จากถั่วเหลือง

ไขมันเลว

ไขมันเลว (Low Density Lipoprotein) หรือ LDL

เป็นไขมันที่ติดกับหลอดเลือด ส่งผลให้เกิดภาวะหลอดเลือดหัวใจอุดตัน หลอดเลือดหัวใจแข็งตัได้ และถ้าไปสะสมที่สมองอาจทำให้เกิดโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ถ้าไปสะสมที่หลอดเลือดฝอย จะก่อให้เกิดโรคต่างๆได้มากมายถ้าไปสะสมที่ผนังหลอดเลือดบริเวณอุ้งเชิงกรานจะทำให้เกิดภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้

 

ไขมัน

อาหารแหล่งไขมันเลว (LDL)

✖ ของทอด

✖ เนื้อสัตว์

✖ นม

✖ ชีส เนย

✖ กะทิ

✖ เบคอน

ไขมัน

สรุปว่า... กินไขมันได้มั้ย ?

จริงๆแล้วไม่ใช่ทุกอย่างจะเป็นตัวร้ายเสมอไป ไขมันมีประโยชน์ในการช่วยดูดซึมวิตามินและแร่ธาตุ และช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย แต่ไขมันชนิดเลว (LDL) ในปริมาณที่มากเกินไปก็เป็นสาเหตุของคอเลสเตอรอลสูง ซึ่งเป็นที่มาของโรคเรื้อรังอันตราย เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด

สรุปคือ... เราควรกินอาหารที่มีไขมันในปริมาณที่เหมาะสม โดยเลือกกินอาหารที่ให้ไชมันชนิดดี (HDL) เช่น อะโวคาโด น้ำมันมะกอก เพื่อเพิ่มปริมาณไขมันดีในร่างกาย และหลีกเลี่ยงอาหารที่ให้ไขมันชนิดเลว เช่น ของทอดต่างๆ เพื่อลดโอกาสการเกินภาวะคอเลสเตอรอลสูง

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm