วิตามิน บี การ์ดพิทักษ์เซลล์ประสาทและสมอง

รู้จัก “วิตามินบี” ให้มากขึ้น

 

วิตามินบี 1

วิตามินบี 1 (Vitamin B1)

วิตามินบี 1 หรือไทอามีน (Thiamine) เป็นวิตามินบีที่มีความโดดเด่นในการช่วยรักษาโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาท ซึ่งช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ นอกจากนั้น ยังสามารถช่วยเผาผลาญอาหารเพื่อนำไปใช้ใช้เป็นพลังงานแก่ร่างกาย ช่วยให้อยากอาหาร และยังจำเป็นต่อสมอง กล้ามเนื้อหัวใจ

ปริมาณที่แนะนำต่อวัน

ร่างกายต้องการวิตามินบี 1 วันละ 1.5 มิลลิกรัม (หากรับประทานมากเกินไปจะถูกขับออกทางปัสสาวะ เพราะวิตามินบี 1 ละลายในน้ำ)

อาการเมื่อขาดวิตามินบี 1

ทำให้เป็นโรคเหน็บชา หรืออาจพบอาการช้า กล้ามเนื้อแขนขาไม่มีแรง ส่งผลไปถึงร่างกายอ่อนเพลีย หลงลืมง่าย ไปจนถึงกล้ามเนื้อตาอ่อนล้า หากเป็นมากอาจมีอาการใจสั่น หัวใจโตและเต้นเร็ว มีอาการหอบ เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร ร่างกายหยุดการเจริญเติบโตได้

ในเด็กที่ขาดวิตามินบี 1 (Infantile beri-beri) จะร้องเสียงแหลมเพราะหงุดหงิด ขาดน้ำตาล มีอาการหอบ หรืออ้าปากร้องแต่ไม่มีเสียงเพราะกล่องเสียงเป็นอัมพาต และเสียชีวิตภายใน 2 ชั่วโมง

ในวัยผู้ใหญ่ หากขาดวิตามินบี 1 เรียกว่า เหน็บชาแห้ง จะมีอาการชา กล้ามเนื้อลีบ และอีกกลุ่มหนึ่งเรียกว่า เหน็บชาเปียก จะมีอาการชาและบวม เมื่อกดเนื้อแล้วเนื้อจะบุ๋ม ไม่เด้งคืนตัว เมื่อยิดมือแล้วแขนสั่น และอีกกลุ่มหนึ่งได้รับผลกระทบทางสมอง เรียกว่า เวอร์นิคโคซาคอฟ (Wernicke-Korsakoff syndrome) สมองเสียประสิทธิภาพ และมีการพบว่าผู้ป่วยอัลไซเมอร์จะมีวิตามินบี 1 ต่ำ

 

วิตามินบี

วิตามินบี 2 (Vitamin B2)

วิตามินบี 2 หรือไรโบฟลาวิน (Riboflavin) ช่วยให้ร่างกายได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ซึ่งช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย การสร้างเส้นผม ผิวหนัง เล็บ ช่วยให้ผิวสุขภาพดี ช่วยในการผลิตเม็ดเลือดแดง ซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และสามารถช่วยลดความรุนแรงของไมเกรนได้

ปริมาณที่แนะนำต่อวัน

ร่างกายต้องการวิตามินบี 2

เด็กททารก 0.3-0.4 มิลลิกรัมต่อวัน

เด็ก 0.6-0.9 มิลลิกรัมต่อวัน

ผู้ชาย 1.3 มิลลิกรัมต่อวัน

ผู้หญิง 1.1 มิลลิกรัมต่อวัน

สตรีมีครรภ์ 1.4 มิลลิกรัมต่อวัน

สตรีให้นมบุตร 1 มิลลิกรัมต่อวัน

อาการเมื่อขาดวิตามินบี 2

การขาดวิตามินบี ทำให้เกิดแผลที่มุมปากทั้งสองข้าง ที่เรียกว่า ปากนกกระจอก (Angular stomatitis) ผิวหนังแห้งและแตก ลิ้นอักเสบ เจ็บลิ้น แผลร้อนใน ผิวไวต่อแสง ตาแพ้แสงแดด กลัวแสง ผิวรอบจมูก คิ้ว และหูลอก คาแดงคัน มีผื่น น้ำตาไหล ตัวเหลือง ขาบวม ระบบการทำงานของระบบประสาทผิดปกติ รู้สึกอ่อนเพลีย

 

วิตามินบี 3

วิตามินบี 3 (Vitamin B3)

วิตามินบี 3 หรือไนอะซิน (Niacin) เชื่อว่าปัจจุบันหลายๆคนคงเคยได้ยินคุณสมบัติของวิตามินบี 3 กันมากขึ้น โดยเฉพาะในวงการสกินแคร์ ที่มักมีวิตามินบี 3 เป็นส่วนผสมในสกินแคร์ต่างๆ แต่จริงๆแล้ว วิตามินบี 3 ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายในส่วนอื่นๆอีกมากมาย เพราะวิตามินบี 3 ช่วยให้ร่างกายได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต ไขมัน ลดคอเลสเตอรอล ควบคุมน้ำตาลในเลือด ขยายหลอดเลือดเล็กๆ ช่วยในการไหลเวียนของเลือด กำจัดสารก่อการแพ้ฮีสตามีนที่ทำให้เกิดอาการคัน บรรเทาอาการข้ออักเสบ บรรเทาอาการซึมเศร้า ช่วยให้ระบบย่อยอาหาร ระบบประสาท และผิวหนังมีความสมบูรณ์และมีสุขภาพดี

ปริมาณที่แนะนำต่อวัน

ร่างกายต้องการวิตามินบี 3 วันละ 19 มิลลิกรัม

อาการเมื่อขาดวิตามินบี 3

อาการเมื่อร่างกายขาดวิตามินบี 3 ไม่นาน จะทำให้ท้องเสีย มีผื่น แต่ถ้าขาดรุนแรงและขาดเป็นเวลานานจะเปนโรคผิวที่โดนแสงแล้วเป็นผื่นดำ เรียกว่า เพลลากรา และมีอาการเบื่ออาหาร อาหารไม่ย่อย คลื่นไส้อาเจียน หลับยาก ความจำไม่ดี

 

วิตามินบี

วิตามินบี 5 (Vitamin B5)

วิตามินบี 5 ช่วยในการเผาผลาญไขมัน คาร์โบไฮเดรต เสริมการหลั่งฮอร์โมนต้านการแพ้ บำรุงผิวพรรณและเส้นผม และต่อต้านความเครียด

ปริมาณที่แนะนำต่อวัน

ร่างกายต้องการวิตามินบี 5 วันละ 4-7 มิลลิกรัม

อาการเมื่อขาดวิตามินบี 5

ร่างกายจะมีอาการล้า เหน็บชา ซึมเศร้า เบื่ออาหาร อาเจียน และนอนไม่หลับ

 

วิตามินบี

วิตามินบี 6 (Vitamin B6)

วิตามินบี 6 ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน สร้างเนื้อเยื่อและการเจริญเติบโตเผาผลาญไขมัน และคาร์โบไฮเดรตและเป็นพลังงาน ช่วยในการทำงานของระบบย่อยอาหาร ช่วยบำรุงผิวหนัง เป็นสารที่จำเป็นในการทำงานของระบบประสาท ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง (ฮีโมโลบิน) บรรเทาอาการเจ็บหน้าอกและปวดมดลูกก่อนมีประจำเดือน ลดการคลื่นไส้ อาเจียนในสรีมีครรภ์

ปริมาณที่แนะนำต่อวัน

ร่างกายต้องการวิตามินบี 6 วันละ 2 มิลลิกรัม

อาการเมื่อขาดวิตามินบี 6

หากร่างกายขาดวิตามินบี 6 อาจทำให้ผิวหนังอักเสบ คันตามผิวหนัง เกิดผื่น เกิดสิว ปากแห้งแตก ลิ้นอักเสบ เล็บเป็นคลื่น ผมร่วง กระดูกผุ ข้อเสื่อม ปวดตามมือตามเท้า ประสาทเสื่อม ลมชัก นอนไม่หลับ หงุดหงิด ซึมเศร้า อ่อนเพลีย เจ็บหน้าอก บวมก่อนมีประจำเดือน

 

ไบโอติน

วิตามินบี 7 หรือไบโอติน (Biotin)

หลายคนคงเคยได้ยินชื่อ “ไบโอติน” ในการเป็นตัวช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง แต่จริงๆแล้วไบโอตินยังจำเป็นต่อกระบวนการเผาผลาญไขมัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานให้ร่างกาย จึงสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ไบโอตินยังช่วยในการผลิตกรดไขมันเพื่อสุขภาพผิว เส้นผม ป้องกันผมหงอกก่อนวัย จึงช่วยในการรักษาสุขภาพของผิวหนัง ผม ระบบประสาท และไขกระดูกและยังช่วยในการผลิตฮอร์โมนเพศในช่วงวัยรุ่น และยังมีส่วนช่วยในการผลิตกรดอะมิโน จังจำเป็นต่อการเจริญเติบโต

ปริมาณที่แนะนำต่อวัน

ร่างกายต้องการไบโอตินวันละ 30-100 ไมโครกรัม

อาการเมื่อขาดไบโอติน

ทำให้ผิวหนังแห้ง ผิวหนังแตก เกิดสะเก็ดรอบจมูก ผมร่วง ผมเปราะ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ซึมเศร้า

 

วิตามินบี

วิตามินบี 12 (Vitamin B12)

วิตามินบี 12 หรือไซยาโนโคบาลามิน ช่วยในการสร้างโปรตีน ช่วยสร้างกรดอะมิโนเมทไธโอนีน ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง ลดการซึมเศร้า ต้านอาการเหน็บชา ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

ปริมาณที่แนะนำต่อวัน

ร่างกายต้องการวิตามินบี 12 วันละ 1-2 ไมโครกรัม

อาการเมื่อขาดวิตามินบี 12

โลหิตจาง เม็ดเลือดแดงมีขนาดใหญ่ อ่อนเพลีย เจ็บลิ้น เจ็บปาก การเจริญเติบโตในเด็กไม่เป็นไปตามปกติ ขาดสมาธิ เครียด กล้ามเนื้อเจ็บตึง อัมพาต

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm