ไวรัสโคโรนา กับ 6 วิธีป้องกันที่คุณควรรู้
“ไวรัสโคโรนา” สายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ COVID-19 เป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจ ซึ่งส่งผลให้เกิด “โรคปอดอักเสบ” ได้ โดยมีช่องทางการแพร่เชื้อ คือ ละอองฝอยจากน้ำมูกน้ำลายเป็นช่องทางหลัก และสามารถผ่านเยื่อบุตาได้ รวมถึงการสัมผัสใบหน้าและปากก็สามารถเพิ่มโอกาสการติดเชื้อได้เช่นกัน
แน่นอนว่าช่วงนี้ทุกคนต่างพยายามป้องกันตนเองและผู้อื่นให้ห่างไกลจาก ไวรัสโคโรนา นี้ โดยควรป้องกันทั้งตนเอง โดยการดูแลสุขอนามัยให้ดีเป็นพิเศษในช่วงนี้ และเมื่อรู้สึกว่าไม่สบาย ก็อย่าลืมป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นด้วยนะคะ
บทความนี้มี 6 วิธีป้องกันตัวคุณและคนรอบข้างให้ห่างไกลจาก ไวรัสโคโรนา มาฝากกันค่ะ
1. ล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ ป้องกัน ไวรัสโคโรนา
การล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ เป็นสิ่งที่จำเป็นมากในการป้องกันการสัมผัสกับเชื้อไวรัส เพราะมือเป็นอวัยวะที่สัมผัสกับสิ่งต่างๆมากที่สุด และเชื้อสามารถติดต่อกันได้ผ่านทางการสัมผัส เช่น ถ้ามีผู้ป่วยที่ติดเชื้อมีเชื้อที่มาจากน้ำมูกน้ำลายเปื้อนที่มือแล้วไปจับสิ่งของ เมื่อมีคนมาจับสิ่งของชิ้นนั้นๆต่อ ก็มีโอกาสสูงที่เชื้อนั้นจะติดไปกับมือของผู้ที่ได้สัมผัสสิ่งของนั้นต่อ ดังนั้น การล้างมืออย่างถูกวิธีจะช่วยทำลายเชื้อไวรัส เพื่อลดความเสี่ยงได้มาก
การล้างมืออย่างถูกต้อง ควรล้างด้วยสบู่อย่างน้อย 20 วินาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด หรือในกรณีล้างด้วยแอลกอฮอล์เจลล้างมือ แล้วรอให้เจลแห้ง โดยต้องใช้เจลล้างมือที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อย่างน้อย 70%
ข้อสังเกต ทุกครั้งก่อนซื้อเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ อย่าลืมตรวจดูด้วยว่ามีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ไม่น้อยกว่า 70% เพราะเป็นปริมาณที่ช่วยฆ่าเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งโดยส่วนมากผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์เจลล้างมือควรมีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ที่ 70-75% เพราะเป็นปริมาณที่เหมาะสมในการฆ่าเชื้อ และไม่ทำให้แอลกอฮอล์นั้นระเหยไวเกินไปอีกด้วย
แม้ว่าจะทำความสะอาดมือแล้ว ก็ควรหลีกเลี่ยงการนำมือมาสัมผัสใบหน้า ขยี้ตา แคะจมูก และสัมผัสปาก เพื่อช่วยลดโอกาสการนำเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายผ่านทางตา จมูกปาก
การทำความสะอาดสิ่งของต่างๆรอบตัวที่หยิบจับบ่อยๆ เช่น ลูกบิด ที่จับประตู ราวบันได ปุ่มกดลิฟท์ วัสดุอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ด้วยแอลกอฮอล์หรือน้ำยาฆ่าเชื้อก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะแม้ว่ามือเราจะสะอาด แต่ถ้าสิ่งของที่เราหยิบจับมีเชื้อโรคปะปนอยู่ก็อาจทำให้ติดมากับมือหรือร่างกายได้ ดังนั้น อาจนำแอลกอฮอล์ชนิดน้ำที่มีความเข้มข้นตั้งแต่ 70% ขึ้นไปมาฉีดพ่นและเช็ดบริเวณสิ่งของที่ต้องหยิบจับอยู่บ่อยๆ เพื่อลดโอกาสการสะสมของเชื้อโรคและเชื้อไวรัสได้อีกทางหนึ่ง
2. ปิดปาก ปิดจมูกเวลาที่ไอหรือจาม ด้วยกระดาษทิชชู่
เนื่องจาก ไวรัสโคโรนา ติดต่อกันได้โดยผ่านทางน้ำมูก น้ำลาย ดังนั้นการที่ผู้ติดเชื้อไอ จาม เป็นสาเหตุให้เชื้อแพร่กระจายได้ และผู้ที่สัมผัสน้ำลายของผู้ที่ติดเชื้อมีโอกาสรับเชื้อและแพร่กรจายไปยังบุคคลอื่นๆอีก
เพราะฉะนั้นเมื่อมีอาการไอ จาม ควรใช้ทิชชู่ที่สะอาดปิดปาก เพื่อลดโอกาสการแพร่กระจายเชื้อโรคไปยังผู้อื่น และในกรณีที่เป็นแค่หวัดทั่วไป การใช้ทิชชู่ปิดปากแทนการใช้มือป้องปากก็จะช่วยป้องการการรับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย เพราะอาจะมีเชื้อไวรัสติดอยู่ที่มือเราโดยไม่รู้ตัว รวมถึงเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าผู้ป่วยแต่ละคนนั้นมีเชื้อแฝงอยู่หรือไม่ ทุกคนจึงควรระมัดระวังการใช้มือสัมผัสผู้ที่ป่วยและหลีกเลี่ยงการนำมือมาสัมผัสหน้าตนเอง
ในกรณีไม่มีกระดาษทิชชู่ที่สะอาด สามารถไอ จาม ในคอเสื้อหรือแขนพับได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้มือป้องปากและจมูก หรือถ้าใช้มือป้องปากและจมูก ต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง
3. รับประทานอาหารที่ปรุงสุกและใช้ช้อนกลางเมื่อทานร่วมกัน
การรับประทานอาหารที่ปรุงสุกผ่านความร้อน จะช่วยทำลายเชื้อโรคต่างๆที่ปะปนมากับอาหารหรือเนื้อสัตว์ได้ในระดับหนึ่ง นอกจากจะเป็นการป้องกันการรับเชื้อไวรัสอีกทางหนึ่งแล้ว ยังเป็นการรับประทานอาหารที่ถูกสุขอนามัย ลดโอกาสการเกิดอาการต่างๆ เช่น ท้องร่วง
และควรใช้ช้อนกลางทุกครั้งที่รับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น รวมถึงการรับประทานอาหารคนเดียว การใช้ช้อนกลางตักกับข้าวใส่จานจะช่วยลดการปนเปื้อนของน้ำลายลงในอาหาร นอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อไวรัสจากคนสู่คนแล้ว ยังช่วยลดระยะเวลาในการเก็บรักษาอาหารให้นานยิ่งขึ้นอีกด้วย
และที่สำคัญอย่าลืมล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารทุกครั้งนะคะ
4. สวมใส่หน้ากากอนามัยที่ได้มาตรฐาน
ในกรณีที่คุณไม่มีอาหารเป็นไข้ เป็นหวัด หรืออาการของการติดเชื้อใดๆ อาจสวมใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการรับเชื้อจากผู้อื่น เช่น เมื่อมีผู้ป่วยไอ จามใส่ หน้ากากอนามัยอาจยังช่วยป้องการน้ำมูกน้ำลายเหล่านั้นได้บ้าง เพราะไวรัสชนิดนี้แพร่เชื้อผ่านทางน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วยได้
ส่วนในกรณีที่คุณรู้สึกไม่สบาย เช่น มีไข้ เป็นหวัด ไอ จาม เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ควรใส่หน้ากากอนามัยไว้เสมอ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นเชื้อไข้หวัดธรรมดา หรือเชื้อไวรัสโคโรนาก็ตาม คงไม่ดีแน่หากเชื้อนั้นได้แพร่ไปยังบุคคลรอบข้าง และควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียดนะคะ
ไม่ใช่แค่หน้ากากอะไรก็ได้ แต่ควรเป็นหน้ากากอนามัยที่ได้มาตราฐาน โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่สบาย ควรใช้หน้ากากทางการแพทย์หรือหน้ากาก N95 เพื่อป้องกันเชื้อแพร่ไปยังผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนหน้ากากผ้านั้นมีส่วนช่วยป้องกันได้น้อย เนื่องจากหน้ากากผ้ามีความแตกต่างจากหน้ากากอนามัยตรงที่ หน้ากากผ้าจะไม่มีสารที่ช่วยป้องกันการซึมผ่านของสารคัดหลั่งเหมือนหน้ากากอนามัยที่ทางการแพทย์ใช้กัน
ส่วนลักษณะการสวมหน้ากากอนามัยที่ถูกต้อง คือ
- หันหน้ากากด้านสีเขียวเข้มออก เอาสีขาวเข้าหาหน้าตัวเอง
- จะมีด้านหนึ่งที่มีโลหะเส้นเล็กๆ อยู่ภายใน ให้นำตำแหน่งนั้นไว้ที่สันจมูก
- คล้องเชือกไว้กับหู ปรับตำแหน่งให้พอดี
- ดึงหน้ากากส่วนล่างให้ลงมาปิดถึงบริเวณคาง
- กดตรงส่วนของโลหะบนสันจมูก ให้โค้งรับสันจมูกพอดี เพื่อให้หน้ากากแนบสนิทกับใบหน้าให้ได้มากที่สุด
- ควรเปลี่ยนหน้ากากอนามัยทุกวัน ไม่ควรใช้ซ้ำ และไม่ควรใช้หน้ากากอนามัยร่วมกับผู้อื่น
5. หลีกเลี่ยงการใกล้ชิด ผู้ที่มีอาการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ หรือมีอาการคล้ายไข้หวัด ซึ่งมีความเสี่ยงติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา
ก่อนอื่นมาดูกันก่อนว่า ผู้ที่ติดเชื้ออาจมีอาการอย่างไรได้บ้าง
- มีไข้
- ไอ
- เจ็บคอ
- มีน้ำมูก
- คลื่นไส้ อาเจียน
- หายใจหอบเหนื่อย
- ปวดศีรษะ
- ท้องเสีย
- อ่อนเพลีย
- เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว
ดังนั้น ควรสังเกตอาการของตนเองและคนรอบข้างอยู่เสมอ และเมื่อพบผู้ที่มีอาการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจก็ควรหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการดังกล่าว หากตัวคุณเองรู้สึกมีอาการดังกล่าว ควรหลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชน สวมใส่หน้ากากอนามัยไว้ตลอดเวลา และควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียดต่อไปค่ะ
ในช่วงนี้ควรหลีกเลี่ยงการไปในสถานที่ที่ผู้คนหนาแน่น เช่น โรงหนัง ห้างสรรพสินค้า ศูนย์อาหาร สถานีขนส่ง เพื่อเลี่ยงสัมผัสรับเชื้อจากบุคคลอื่นๆ รวมถึงควรงดเดินทางไปยังประเทศที่เป็นกลุ่มเสี่ยง เนื่องจากประเทศเหล่านั้นมีจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก หากมีความจำเป็นต้องออกไปที่แหล่งชุมชน ก็ควรป้องกันตนเองด้วยการล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ
นอกจากนี้แล้ว ถ้าต้องเข้าห้องน้ำสาธารณะ ควรปิดฝาชักโครกทุกครั้งที่กดล้าง เพื่อลดโอกาสการฟุ้งกระจายของไวรัส ซึ่งถูกขับออกทางอุจาระได้
6. รับประทานวิตามินซี เป็นประจำทุกวัน
เนื่องจากวิตามินซีมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย เมื่อร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่ดีก็มักจะต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆได้มากขึ้นตามไปด้วย
นอกจากนี้วิตามินซียังมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกหลายอย่าง เช่น
- ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง จึงช่วยลดความเสี่ยงในการอักเสบของหลอดเลือดได้
- มีส่วนช่วยในกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการชะลอวัย
- มีส่วนช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน และเนื้อเยื่อของเอ็นกระดูกอ่อน จึงมีผลต่อการบำรุงผิวพรรณให้สดใส
การรับประทานวิตามินซีนั้น สามารถรับประทานได้อย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน เพราะวิตามินซีเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ จึงสามารถขับออกได้ทางปัสสาวะ โดยไม่ต้องกลัวการสะสมในร่างกายที่มากเกินไป ทำให้มีความปลอดภัยสูง สามารถรับประทานได้ทุกเพศทุกวัย
ดูข้อมูล >> ความแตกต่างระหว่างวิตามินซีธรรมชาติและวิตามินซีสังเคราะห์
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm