Nutrient
อยากรู้ไหม? ไอมีกี่แบบ ... แบบไหนร้ายสุด!?
ไอ มีกี่แบบ? วันนี้มีคำตอบ
รู้มั๊ย? ไอ มีกี่ประเภท? เดี๋ยววันนี้ได้รู้จัก "ไอ" ดีกว่าเดิม
"อาการไอ" สามารถแบ่งจำแนกได้ตามลักษณะอาการ ช่วงเวลา
และระดับความรุนแรงโดยอาจแบ่งได้เป็น 4 แบบ
1. ไอมีเสมหะ
เป็น อาการไอ และมีของเหลวสารคัดหลั่งในลำคอ ไอแบบนี้เกิดจากการติดเชื้อบางชนิด เช่น หวัด ปอดอักเสบ
2. ไอแห้ง หรือ ไอไม่มีเสมหะ
เป็น อาการไอ ที่เกิดการการระคายเคืองคอ หรือ ทางเดินหายใจส่วนล่างมักมีสาเหตุมาจาก ฝุ่น ควัน หรือกรดไหลย้อน
หลอดลมอักเสบ รวมถึง โรคโควิด-19
3. ไอในเวลากลางคืน
มักเกิดจากท่านอนที่ทำให้ เสมหะไหลลงคอ ระหว่างหลับ จึงทำให้รู้สึกระคายเคืองคอ และต้องไอออกมาเพื่อขับออก
มีสาเหตุมาจากหลายโรค เช่นภูมิแพ้ ไซนัส เป็นต้น
4. ไอเสียงก้อง
เกิดจากการบวมในทางเดินหายใจส่วนบน บริเวณกล่องเสียงและหลอดลมมักพบมากในเด็ก
ส่งผลให้รู้สึกหายใจลำบาก เสียงแห้ง
หากถามว่า อาการไอ แบบไหน น่ากลัวที่สุด คำตอบคือ ทุกอาการไอ
ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและความรุนแรงของเชื้อโรค ตลอดจนระดับภูมิคุ้มกันในตัวของผู้ป่วยดังนั้น
ป้องกันไว้ก่อนหมอสอนไว้ ไบโอฟาร์มสนับสนุนให้ทุกคนดูแลตนเองตั้งแต่เนิ่นๆ หากพบว่ามีอาการไอ
แนะนำให้พก "สเปรย์พ่นคอ" Mouth Spray หรือ สมุนไพรแก้ไอเพื่อยับยั้งไม่ให้อาการลุกลามและรุนแรง
ป้องกันไว้ก่อนดีที่สุด
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่
Facebook: Healthyclub by Biopharm
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm
รู้จักกับ "โพลีเด็กซ์โตรส" (Polydextrose)
หลายๆคนน่าจะได้รู้จักกับคำว่าไฟเบอร์ หรือ ใยอาหารกันแล้ว แต่พอพูดถึงโพลีเด็กซ์โตรสอาจจะยังไม่คุ้นเคยกันนัก แต่จริงๆแล้ว โพลีเด็กซ์โตรส (Polydextrose) จัดเป็นไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารมานานมากแล้ว ดังนั้นไม่ต้องสงสัยในเรื่องของความปลอดภัย ซึ่งคุณสมบัติหลักของโพลีเด็กซ์โตรสที่มีต่อสุขภาพคือการเป็นพรีไบโอติก (Prebiotic)
ประโยชน์ของพรีไบโอติก
- ส่งเสริมระบบการทำงานของระบบทางเดินอาหารให้เป็นปกติ
- ป้องกันอาการท้องผูกและท้องเสีย
- ส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์เพื่อสุขภาพในลำไส้โดยเฉพาะกลุ่มแลคโตบาซิลลัสและบิฟิโดแบคทีเรีย
- กระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายโดยจะมีผลต่อการทำหน้าที่ของเซลล์ภูมิต้านทานในลำไส้ รวมถึงช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเซลล์เยื่อบุผิวในลำไส้ส่งผลให้มีความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อเป็นอย่างดี
- เพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมของแร่ธาตุบางชนิด เช่น แคลเซียม
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm
แมกนีเซียม เพื่อกระดูกและฟันที่แข็งแรง
"แมกนีเซียม" คงเป็นชื่อที่คุ้นหูกันอยู่แล้ว แต่รู้หรือไม่ว่า แมกนีเซียม มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร และเราจะได้รับสารแมกนีเซียมจากไหนได้บ้าง ?
แมกนีเซียม เป๋นแร่ธาตุชนิดหนึงที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งมีความจำเป็นต่อกระบวนการเผาผลาญของแคลเซียมและวิตามินซี เช่นเดียวกับฟอสฟอรัส โซเดียม และโพแทสเซียม ดังนั้น แมกนีเซียมจึงมีส่วนช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง นอกจากนี้ยังมีความจำเป็นต่อการทำงานของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ และยังสำคัญต่อการเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดให้เป็นพลังงาน
แมกนีเซียม ดีต่อร่างกายอย่างไร ?
ช่วยให้ฟันแข็งแรง
บรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย
ช่วยเผาผลาญไขมันและเปลี่ยนเป็นพลังงาน
ช่วยให้หลอดเลือดและหัวใจแข็งแรง
ช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอล
ป้องกันกล้ามเนื้อหดเกร็ง
บรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือน (อาการ PMS)
แหล่งของ "แมกนีเซียม" จากธรรมชาติ
เราสามารถได้รับแมกนีเซียมได้จากการรับประทานธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี มะเดื่อฝรั่ง อัลมอนด์ ถั่ว ผักสีเขียวเข้ม กล่วย และเมล็ดธัญพืช
ร่างกายต้องการแมกนีเซียมปริมาณเท่าไหร่ ?
ผู้ใหญ่ ต้องการแมกนีเซียมวันละประมาณ 250 - 500 มิลลิกรัม ดังนั้น การรับประทานอาหารที่อุดมปด้วยแมกนีเซียมเป็นประจำจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะแมกนีเซียมเป็นแร่ธาติที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm
รู้จักกับ โสม ยอดฮิต! สารพัดประโยชน์ของราชาสมุนไพร
เชื่อว่าหลายๆคนคงรู้จัก "โสม" ทั้งในแบบรับประทานและเป็นส่วนผสมสุดฮิตในสกินแคร์ ขึ้นชื่อเรื่องบำรุงกำลังและความอ่อนเยาว์ แต่วันนี้เราจะมาเจาะลึกข้อมูลเกี่ยวกับโสมที่คุณอาจยังไม่รู้
"โสม" รู้จักกันมาในนามของยาบำรุงกำลังที่ชาวจีนนิยมใช้มานานกว่าพันปี และยังคงฮอตติดลมบนมาจนถึงทุกวันนี้ โดยมีการใช้อย่างแพร่หลายในหลายๆประเทศ รวมถึงประเทศไทยเองก็มีขายกันจำนวนมาก หรือไม่พลาดที่จะซื้อเป็นของฝากเวลาไปประเทศที่มีโสมขึ้นชื่ออย่างเกาหลีใต้หรือประเทศจีน แต่จริงๆแล้ว โสมมีหลายชนิด โดยโสมชนิดที่มักขายกันทั่วไป คือ โสมเอเชีย (Panax Ginseng) หรือที่เรียกกันง่ายๆว่า "โสมตะวันออก" อย่างโสมจีน โสมเกาหลี แต่ยังมีโสมชนิดอื่นๆ อย่างโสมอเมริกัน (Panax quinquefolius) และโสมไซบีเรีย (Eleutherococcus senticosus) ซึ่งโสมทั้งสองชนิดนี้ไม่จัดเป็นโสมแท้ แต่ก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายไม่ต่างจากโสมตะวันออก
ประโยชน์ของโสม
✔ เพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกาย
✔ เพิ่มการตอบสนองต่ออินซูลิน
✔ เพิ่มการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน
✔ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
✔ ลดการอักเสบที่สร้างจากเม็ดเลือดขาว
✔ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
✔ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
✔ มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ
✔ ช่วยให้ร่างกายขับสารพิษต่างๆเร็วขึ้น
✔ บรรเทาอาการหวัด
✔ ช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเอสโทรเจน บรรเทาอาการไม่สบายในช่วงวัยทอง
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm
4 ผลวิจัยและเหตุผลดีๆที่สัตว์เลี้ยงช่วยให้อายุยืน
4 ผลวิจัยและเหตุผลดีๆ ที่ "สัตว์เลี้ยงช่วยให้อายุยืน"
สัตว์เลี้ยงช่วยทำให้ใจเย็นขึ้น
การลูบตัวสุนัขหรือแมวช่วยลดความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจได้ และช่วยเพิ่มระดับสารเซโรโทนินและโดปามีนในสมอง ซึ่งเป็นสารธรรมชาติในสมองที่ทำให้รู้สึกมีความสุขและใจเย็น
สัตว์เลี้ยงช่วยเพิ่มภูมิต้านทานในร่างกาย
ช่วยป้องกันฮอร์โมนที่เกิดจากความเครียดไม่ให้ไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้มีผลเสียต่อร่างกายหลายรูปแบบ

สัตว์เลี้ยงช่วยให้อายุยืน
การเลี้ยงสุนัขจะช่วยให้ผู้ป่วยที่เคยหัวใจวายมีอายุยืน มีการศึกษาโดยให้ผู้ที่เคยหัวใจวายมาแล้ว 421 รายเลี้ยงสุนัข เมื่อผ่านไป 1 ปี ผู้ที่เลี้ยงสุนัขจะมีอายุยืนมากกว่าผู้ที่ไม่เลี้ยง

สัตว์เลี้ยงพาออกกำลังกาย
มีผลงานวิจัยหลายชิ้นระบุว่า ผู้ที่มีสัตว์เลี้ยงจะได้ออกกำลังกายมากกว่าคนทั่วไป เพราะผู้ที่เลี้ยงสุนัขและพาสุนัขออกไปเดินเล่นเป็นประจำ มีน้ำหนักน้อยกว่าผู้ที่ไม่มีสัตว์เลี้ยง หรือไมีแต่ไม่พาออกไปเดินเล่น ดังนั้น การพากันไปเดินเล่นออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ดีทั้งสำหรับเจ้าของและสัตว์เลี้ยงแน่นอน
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm
รวม 4 วิธี เทคนิคพิชิตใจ ลูกกินยาก
ปัญหาลูกทานยาก ไม่เจริญอาหาร เป็นปัญหาหนักใจของคุณพ่อคุณแม่หลายท่าน วันนี้เรามีวิธีดีๆ ให้คุณพ่อคุณแม่ลองทำตาม ลองดูกันว่าจะพิชิตใจเหล่าตัวน้อยได้หรือไม่
1. ตรวจร่างกาย ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง
ประเมินภาวะโภชนาการของเด็ก ด้วยการสังเกตกราฟการเจริญเติบโต ด้วยการชั่งน้ำหนัก และวัดส่วนสูงเทียบกับเกณฑ์ปกติตามวัยของลูก และบันทึกชนิด ปริมาณของอาการที่ลูกกินเข้าไป รวมทั้งขนม และนมในแต่ละมื้อ และแต่ละวันด้วย
สูตรการคำนวณน้ำหนักตามอายุ (ใช้ได้ตั้งแต่อายุ 1-10 ขวบ) น้ำหนักเฉลี่ย = 8 + (2 x อายุเป็นปี)ช่วงน้ำหนักปกติ จะมากหรือน้อยกว่าน้ำหนักเฉลี่ยที่คำนวณได้ตามสูตรประมาณ 2 กิโลกรัม

2. ต้องแน่ใจว่าลูกจะหิวเมื่อถึงเวลากิน
คุณพ่อ หรือคุณแม่ต้องให้ลูกกินเป็นเวลา โดยกำหนดเวลารับประทานอาหารแต่ละมื้อให้ชัดเจน ถ้าลูกเกเรไม่ยอมกินภายใน 30 นาที 1 ชั่วโมง ให้เก็บรอในอีกมื้อถัดไป ถ้าในเด็กที่มีอาการขาดอาหาร หรือวิตามิน อาจให้วิตามินรวมสูตรสำหรับเด็กเบื่ออาหาร เพื่อกระตุ้นความอยากอาหารได้

3. อาหารต้องน่ากิน
การฝึกการกินของลูก ช่วงแรกเริ่มควรเตรียมแต่อาหารที่ลูกชอบ กินง่าย ตกแต่งให้น่ากิน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้อยากกินเอง เป้าหมายสำคัญคือ การสร้างวินัยในการกิน จนลูกปฏิบัติได้สม่ำเสมอ

4. ตักอาหารทีละน้อยๆ
คุณพ่อคุณแม่ควรตักอาหารครั้งละน้อยๆ ให้ลูกมีกำลังใจว่ากินได้หมด รวมทั้งควรให้ลูกตักด้วยตัวเอง ถ้าหมดแล้วจึงค่อยเติม เพื่อที่ลูกจะได้ไม่เคยชินกับการกินเหลือ หรือต้องถูกบังคับให้กินจนหมดจาน
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm
แคลเซียม ควรเริ่มกินตอนอายุเท่าไหร่ ?
จริงๆแล้วร่างกายของเราต้องการแคลเซียมในทุกๆช่วงวัย แต่เมื่ออายุเข้าช่วง 30 ปีไปแล้ว ร่างกายจะหยุดดูดซึมแคลเซียมไปเก็บสะสมไว้ในกระดูก
โดยในแต่ละวัย มีความต้องการแคลเซียม ดังนี้
- อายุตั้งแต่ 1 ถึง 30 ปี ต้องการแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลกรัม เพราะร่างกายยังสามารถดูดซึมแคลเซียมและเก็บสะสมไว้ได้ดีอยู่
- อายุ 30 ปีขึ้นไป ต้องการแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลิกรัม ร่างกายในวัยนี้หยุดเก็บแคลเซียมแล้ว ดังนั้น เราต้องเติมแคลเซียมให้กับร่างกายอยู่ตลอดห้ามขาด
- อายุ 50 ปี (วัยทอง) ต้องการแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลิกรัม
- อายุ 50 ปีขึ้นไปและคุณแม่ตั้งครรภ์ ต้องการแคลเซียมวันละ 1,200 มิลลิกรัม
ดังนั้น หากอาหารที่รับประทานอยู่เป็นประจำไม่มีปริมาณแคลเซียมมากพอ เมื่อเข้าสู่วัย 30 ปี ควรจะรับประทานแคลเซียมเสริมอย่างสม่ำเสมอ
หลายๆคนอาจจะรู้จัก “แคลเซียม” ในฐานะของส่วนประกอบสำคัญของกระดูกและฟันและจำเป็นต่อการคงสภาพปกติของกระดูกและฟัน แต่นอกจากจะเป็นสารที่จำเป็นต่อกระดูกและฟันแล้ว แคลเซียมยังมีประโยชน์อย่างมากต่อระบบอื่นๆในร่างกาย เช่น
- มีส่วนช่วยในการแข็งตัวตามปกติของเลือด
- มีส่วนช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานจากเมตาบอลิซึมตามปกติ
- มีส่วนช่วยในการทำงานตามปกติของกล้ามเนื้อ
- มีส่วนช่วยในการทำงานตามปกติของสารสื่อประสาท
- มีส่วนช่วยในการทำงานตามปกติของเอนไซม์ในระบบย่อยอาหาร
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm
วิตามินอี กับ 5 ประโยชน์ที่มีดีมากกว่าบำรุงผิวชุ่มชื้น
หลายคนคงรู้จักกับ วิตามินอี (Vitamin E) ในรูปแบบทั้งการรับประทานและการทาบำรุงผิว เพราะมีชื่อเสียงในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง ซึ่งเป็นพื้นฐานของผิวสวยสุขภาพดี แต่จริงๆแล้ววิตามินอียังไม่ประโยชน์ต่อร่างกายในอีกหลายๆส่วน
วิตามินอี ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
ทำให้ผิวชุ่มชื้น ลดรอยแผล
บำรุงประสาทและกล้ามเนื้อ
ช่วยในการไหลเวียนของเลือด และป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm
อย่ามองข้ามสัญญานอันตราย ! ให้ดอกเล็บทำนายร่างกายคุณ
ดอกเล็บสามารถบอกได้ว่าคุณอาจมีภาวะบางอย่างของร่างกาย เช่น โรคที่เกี่ยวกับตับ ไต หัวใจ หรือปอด อาจส่งผลต่อเนื่องจากการสะสมสารพิษในร่างกาย หากคุณเข้าข่ายนี้ ควรปรึกษาแพทย์จะได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุค่ะ
ดอกเล็บสามารถเกิดได้จากสาเหตุเล็กๆอย่างการกระทบกระแทกอย่างไม่รู้ตัว แม้จะไม่แสดงอาการอื่น แต่ดอกเล็บก็เป็นผลข้างเคียงหนึ่งของอาการบาดเจ็บ เร่งหาสาเหตุแล้วถนอมสุขภาพเล็บกันค่ะ
เช็กด่วน! หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่มีดอกเล็บ ไม่ว่าจะมากจะน้อย เราขอทำนายว่าร่างของคุณกำลังส่งสัญญาณว่าคุณได้รับสารพิษหรือโลหะหนักบางชนิด เช่น สารตะกั่ว หรือสารหนู อยู่นะ! รู้แล้วก็รีบพาตัวเองออกมาจากที่ที่มีสารพิษ หลีกเลี่ยงฝุ่นควันก่อนที่ร่างกายจะงอแงไปมากกว่านี้ค่ะ
อีกสาเหตุหลักที่พบบ่อย ของการเกิดดอกเล็บคือ การที่ร่างกายขาดแร่ธาตุซิงค์ อาหารที่มีซิงค์ เช่น หอยนางรม ธัญพืช เมล็ดถั่วต่าง ๆ แต่ที่ง่ายที่สุดคือ
การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีซิงค์ วันละ 15-30 มก. แค่นี้ปัญหาดอกเล็บก็จะหมดไป
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm
ไม่อยากไป 2 กลับ 3 ต้องทำยังไง ?
วางแผนไว้ก่อนยังไงก็ชัวร์กว่า ถ้ารู้ตัวว่าจะมีนัด หรือนัดกันอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ก็ทานยาคุมแบบรายเดือนไว้ซะเลย สบายใจสุดๆ ไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องนับถอยหลังวันไข่ตก เพราะยาคุมรายเดือนแบบปกติสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ถึง 99.7% หรือมีโอกาสพลาด น้อยกว่า 1 ใน 300 คนซะอีก
พลาดไปแล้วต้องทำไง ไม่ต้องกลัวๆ ทีมฉุกเฉินมารวมกันทางนี้
เรารู้ว่าเหตุไม่คาดฝันเกิดได้เสมอ ทั้งลืมป้องกัน หรือป้องกันแล้วหลุด! พลาดไปแล้วอย่ามัวตกใจ ตั้งสติให้ได้ภายใน 72 ชั่วโมง เพราะยาคุมฉุกเฉินจะออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด ต่อเมื่อทานหลังเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกันโดยเร็วที่สุด และไม่เกิน 72 ชั่วโมงเท่านั้น
ฉุกเฉินแล้ว...ฉุกเฉินอีก ก็ได้หรอ?
ได้ค่ะ! ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็สามารถใช้ยาคุมฉุกเฉินได้เสมอ แค่ระวังอย่าให้เกินเดือนละ 2 ครั้ง เพราะถ้ามีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกันบ่อยกว่านั้น แนะนำให้ใช้ยาคุมกำเนิดแบบรายเดือนเลยดีกว่าค่ะ จะได้ช่วยกำหนดรอบเดือน และไม่ต้องกังวลเรื่องอาการข้างเคียงได้ด้วย
ทริปนี้ไม่ผิดแผนแน่ ถ้าเลือกวางแผนไว้ล่วงหน้า และมีสติ หากมีอะไรผิดพลาด กู้สถานการณ์ให้ทันเวลา ใน 72 ชั่วโมง
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm
6 Tips แก้ปัญหา ท้องอืด ด้วยธรรมชาติ
ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ปวดจุกเสียดแน่นท้อง เป็นปัญหากวนใจที่แม้ไม่ใช่อาการอันตรายร้ายแรง แต่หากเกิดขึ้นบ่อยหรือเป็นแบบเรื้อรัง ก็ย่อมทำให้เรารู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว และรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันอย่างแน่นอน ทำให้หลายๆคนมองหาวิธี แก้อาการ ท้องอืด และคงลองกันมาหลายวิธี เรามารู้จักสาเหตุของของอาการท้องอืดกันก่อนว่า เป็นอารการที่เกิดจากการมีแก๊สในกระเพาะอาหารมาก ซึ่งสาเหตุก็มักมาจากอาหารไม่ย่อย โดยเฉพาะเมื่อเรากินมากหรือเร็วเกินไป กินอาหารที่มีแก๊สเยอะ กลืนอากาศเข้าไปมาก หรือมีปัญหาในทางเดินอาหารอยู่แล้ว เช่น เป็นโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบ เป็นต้น
การแก้อาการท้องอืด สามารถทำได้หลายวิธี ตั้งแต่การบรรเทาอาการด้วยตัวเอง การกินยา ไปจนถึงการรักษาโดยคุณหมอผู้เชี่ยวชาญ สำหรับคนที่เจอะเจอปัญหานี้บ่อยๆ เรามาดูกันดีกว่าว่าวิธีการ แก้อาการท้องอืด แบบธรรมชาติๆ ที่เราสามารถทำได้เองมีอะไรบ้าง

1. ปรับเปลี่ยนนิสัยการกินใหม่ แก้อาการท้องอืด
หนึ่งในวิธีง่ายๆ และได้ผลดี ก็คือการเปลี่ยนนิสัยการกินที่ไม่ดีเสียใหม่ เช่น กินอาหารให้ช้าลง หลีกเลี่ยงการกินเยอะจนอิ่มเกินไป งดอาหารและเครื่องดื่มที่มีแก๊สเยอะ อย่างน้ำอัดลม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ของหมักดอง และผักตระกูลกะหล่ำ รวมถึงอย่านอนทันทีหลังกินอิ่มใหม่ๆ วิธีเหล่านี้จะช่วยป้องกันอาหารไม่ย่อยซึ่งเป็นที่มาของปัญหาท้องอืดได้

2. กินผักผลไม้ที่ช่วยคลายท้องอืด
ผักและผลไม้บางชนิดมีสรรพคุณที่ช่วยลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อหลังเรากินอาหารมื้อใหญ่ๆ ได้ เช่น สับปะรด และมะละกอสุก ที่มีเอนไซม์ช่วยย่อยโปรตีนอยู่ตามธรรมชาติ จึงช่วยแก้อาการแน่นท้องเวลาเรารับประทานเนื้อสัตว์เยอะๆ รวมถึงผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง อย่างมะเขือเทศ และกล้วยหอม ก็ช่วยลดอาการบวมน้ำและจุกแน่นในท้องได้ดีเช่นกัน

3. เครื่องดื่มบางอย่างช่วยได้
ใครที่มีปัญหาจุกเสียดอาหารไม่ย่อยหลังทานข้าว อาจลองงดชา-กาแฟเย็น แล้วเปลี่ยนมาล้างปากด้วยน้ำมะนาว น้ำขิง หรือชาคาโมมายล์อุ่นๆ แทน เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้มีสรรพคุณเป็นยาระบาย ช่วยขับลม กระตุ้นระบบย่อยอาหาร แถมยังแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อได้รวดเร็วทันใจอีกด้วย

4. รับประทานโปรไบโอติกส์ แก้อาการท้องอืด
โปรไบโอติกส์ (Probiotics) คือจุลินทรีย์ชนิดดีที่อาศัยอยู่ในลำไส้ของเรา ซึ่งจะช่วยปรับสมดุลภายในทางเดินอาหาร ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคอื่นๆ เข้ามารุกราน ลดอาการท้องผูก-ท้องเสีย และยังมีส่วนช่วยในการย่อยอาหารด้วย เราสามารถรับโปรไบโอติกส์ได้จากอาหารจำพวกนมเปรี้ยว โยเกิร์ต ซึ่งหากทานเป็นประจำก็จะช่วยแก้ปัญหาท้องอืดในระยะยาวได้

5. นวดกดจุดลดแน่นท้อง
การนวดกดจุด เป็นศาสตร์การแพทย์โบราณที่สามารถบรรเทาภาวะอาหารไม่ย่อย หรือการดูดซึมผิดปกติได้ โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าจุดที่กดแล้วจะช่วยแก้ท้องอืดได้ ได้แก่ “จุดจงหว่าน” ที่อยู่กึ่งกลางลำตัวตรงหน้าท้อง เหนือสะดือขึ้นมาประมาณ 4 นิ้ว “จุดจู๋ซานหลี” ที่อยู่ตรงหน้าแข้งทั้ง 2 ข้าง ใต้สะบ้าหัวเข่าประมาณ 3 นิ้ว และ “จุดเน่ยกวน” ที่อยู่ตรงแขนด้านใน ใต้เส้นข้อมือประมาณ 2 นิ้ว การนวดคลึงเบาๆ ที่จุดเหล่านี้เป็นเวลา 3 – 5 นาทีหลังกินอาหาร จะช่วยลดอาการท้องอืดจุกเสียดแน่นได้เป็นอย่างดี

6. ใช้ยาสมุนไพรแก้ท้องอืด
รู้ไหมว่าผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรหลายตัวมีสรรพคุณช่วยแก้ท้องอืดได้ดีไม่แพ้ยาแผนปัจจุบันเลย ตัวอย่างเช่น สารสกัดจากตะไคร้และขิง หรือน้ำมันสกัดจากเปปเปอร์มินต์ และสเปียร์มินต์ ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยลดอาการอักเสบระคายเคืองในช่องท้อง รวมไปถึงอาการปวดเสียด แน่นท้อง และท้องอืดจากสาเหตุต่างๆ แถมสมุนไพรที่ว่ายังมีส่วนผสมของเมนทอลที่ให้กลิ่นหอมเย็นสดชื่น ซึ่งช่วยคลายความเครียด วิตกกังวล อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อาหารไม่ย่อยอีกด้วย
Belfesh ยาสมุนไพรจากธรรมชาติในรูปแบบมินต์บอล พกพาสะดวก ทานง่าย ใช้สำหรับขับลมแก้ท้องอืด ด้วยส่วนประกอบหลักที่เป็นน้ำมัน peppermint และ spearmint ซึ่งมีสรรพคุณโดดเด่นในการช่วยย่อยอาหาร ขับลม ลดแก๊สในกระเพาะ จึงหมดกังวลเรื่องอาการท้องอืดจุกเสียดมากวนใจ แม้มื้ออาหารจัดเต็มแค่ไหนก็หายห่วง พร้อมกลิ่นมินต์หอมเย็นสดชื่น เพื่อลมหายใจสะอาดมั่นใจได้อย่างยาวนาน สามารถซื้อได้ตามร้านขายยา และร้านสะดวกซื้อชั้นนำทั่วไป
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm
ยาแก้ปวดประจำเดือน เลือกอย่างไร ไม่ให้กัดกระเพาะ
สาวๆหลายคนคงเจอปัญหาปวดท้องเมื่อถึงวันนั้นของเดือน ซึ่งมักจะรบกวนกิจวัตรประจำวัน และมีสาวๆจำนวนมากที่เลือกจะกินยาแก้ปวดประจำเดือน แต่รู้หรือไม่ว่า... ยาแก้ปวดประจำเดือน มีหลายชนิด โดยยาบางชนิดมีการพัฒนาให้มีความปลอดภัยในการใช้ยาเพิ่มมากขึ้น เช่น การพัฒนาให้ยาไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร ดังนั้นจึงกินเวลาไหนก็ได้ โดยไม่ต้องกังวัล และยังพัฒนาให้กินเพียงวันละครั้งก็สามารถลดอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว เช่น ตัวยา Etoricoxib
มีหลายการศึกษาเปรียบเทียบตัวยาทั้ง 2 กลุ่ม คือ Mefenamic และ Etoricoxib พบว่ายา Etoricoxib สามารถลดอาการปวดเมนส์ และ ลดการสูญเสียเลือดประจําเดือนได้ดีกว่าอย่างมีนัยสําคัญ และแทบไม่พบอาการไม่พึงประสงค์ เช่น อาการระคายเคืองกระเพาะอาหาร ขณะที่ยาอีกกลุ่มหนึ่งมีมากถึง 40%
- I. Nor Azlin,I. Maryasalwati,M. N. Norzilawati,Z. A. Mahdy,M. A. Jamil &M. R. Zainul Rashid
Pages 424-426 | Published online: 02 Jul 2009
ดั้งนั้นการเลือกยาแก้ปวดประจำเดือนนอกจากเลือกจากความสามารถลดอาการปวดได้แล้ว อาจต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในด้านอื่นๆ เช่น การระคายเคืองกระเพาะอาหาร ประวัติการแพ้ยา และโรคประจำตัวของผู้ป่วย เช่น ผู้ที่มีแผลในทางเดินอาหาร เป็นโรคตับหรือไตบกพร่องรุนแรง เป็นต้น ดังนั้น จึงแนะนำให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm
ไอโอดีน (Iodine) จำเป็นต่อร่างกายอย่างไร ?
ไอโอดีน (Iodine)
เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย แม้ว่าร่างกายจะต้องการไอโอดีนในปริมาณเพียงเล็กน้อยแต่ก็มีความจำเป็นมากจนขาดไม่ได้ โดยเมื่อไอโอดีนเข้าสู่ร่างกายแล้วขะจับกับกรดอะมิโนไทโรซีน (Tyrosine) แล้วสร้างเป็นฮอร์โมนที่มีชื่อว่า "ไทรอกซิน" (Thyroxine) หรือไทรอยด์ฮอร์โมนที่ฟอลิเคิลเซลล์ในต่อมไทรอยด์ที่อยู่บริเวณคอ
ประโยชน์ของไอโอดีน
✔ จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการทางสมอง ความจำ และการทำงานของร่างกาย
✔ ช่วยควบคุมการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ซึ่งมีผลต่อการใช้พลังงาน และอุณหภูมิในร่างกาย
✔ ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส
✔ ช่วยเสริมการเจริญเติบโตของร่างกายและสมองของทารกในครรภ์
✔ ลดโอกาสการเกิดโรคคอพอก
แหล่งของไอโอดีน
✔ อาหารทะเลทุกชนิด (พบมากที่สุดในสาหร่ายทะเล)
✔ พืชที่ขึ้นบนดินที่มีไอโอดีนสูง เช่น ชา
✔ นอกจากนี้ ปัจจุบันยังมีการเพิ่มสารไอโอดีนลงในไข่ไก่ เกลือ น้ำปลา และเครื่องปรุงรสที่ใช้เกลือเป็นส่วนประกอบอีกด้วย
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm
ผัก ผลไม้ 5 สี ดีต่อสุขภาพยังไงบ้าง ??
ผัก ผลไม้ 5 สี
ดีต่อสุขภาพยังไง ??
สีแดง
สารที่พบในอาหารสีแดงหรือสีชมพู
- ไลโคปีน (Lycopene) เป็นสารกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่ให้สีแดงแก่มะเขือเทศ แตงโม ส้มโอแดง มะละกอ ดอกกระเจี๊ยบ สตรอเบอร์รี่ เชอร์รี่ เมล็ดทับทิม หัวบีท ผลแก้วมังกร รวมถึงเนื้อสัตว์บางชนิด เช่น ปลาแซลมอน กุ้ง ปู
- บีทาเลน (Betalain) คือ สารสีแดงและสีม่วงในหัวบีท ผลแก้วมังกร มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ
สีเหลืองและสีส้ม
สารที่พบในอาหารสีเหลืองและสีส้ม
- เบต้าแคโรทีน (Beta carotene) เป็นเม็ดสีเหลือง สีแสดที่พบในพืชหลายชนิด เช่น แครอท มะละกอ มะกอก ลูกพลับ เป็นสารที่มีศักยภาพสูงในการต่อต้านอนุมูลอิสระ และเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ ซึ่งมีประโยชน์ต่อการมองเห็นและยังช่วยให้ผิวพรรณสดใสอีกด้วย
- ฟลาโวนอยด์ พบในเปลือกส้มและเยื่อส้ม หรือที่เรียกว่า "Citrus bioflavonoid" ออกฤทธิ์เสริมความแข็งแรงของหลอดเลือดฝอย
- มอริน (Morin) เป็นฟลาโวนอยด์ที่พบในขนุน มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ ต้ายไวรัสเริม (HSV-2) และลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง
- เอนไซม์โปรตีนโบรมีเลน (Bromelain) พบในสับปะรด เป็นเอนไซม์ย่อยโปรตีนที่ได้จากเนื้อและแกนของผลสับปะรด มีฤทธิ์ต้านการรวมตัวกันของเกล็ดเลือด ต้านการอักเสบ
- ลูทีน (Lutein) เป็นสารสีเหลืองที่ให้สีสันแก่พืช และยังมีประโยชน์ในการช่วยบำรุงสายตา ป้องกันความเสื่อมของ Macula ในดวงตา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งทีทำให้คนแก่ชราตาบอด
สีเขียว
สารที่พบในอาหารสีเขียว
- คลอโรฟีลล์ เป็นสารที่ทำให้พืชมีสีเขียว ยิ่งมีสีเขียวเข้มมากแสดงว่ามีปริมาณคลอโรฟิลล์มาก เช่น ตำลึง คะน้า บร็อกโคลี่ ชะพลู ใบบัวบก ชะอม ผักบุ้ง ผักโขม ผลอะโวคาโด ขึ้นถ่าย แตงกวา ซึ่งเมื่อสารคลอโรฟิลล์ถูกย่อยในร่างกายแล้ว จะสามารถช่วยลดโอการสเสี่ยงในการเกิดมะเร็งได้
- ลูทีน (Lutein) เป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ พบในผักใบเขียใเข้ม เช่น ผักคะน้า ผักบุ้ง ผักโขม ผลอะโวคาโด ซึ่งมีประโยชน์ต่อดวงตา สามารถช่วยกรองแสงสำน้ำเงินที่มีพลังงานสูงได้
- อินโดล-3-คาร์บินอล (I3C) พบในบร็อคโคลี่ กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ มีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งได้ และช่วยกำจัดสารพิษในร่างกายได้ดี
- ซัลโฟราเฟน (Sulforaphane) เป็นสารไทโอไซยาเนต พบในพืชวงศ์กะหล่ำปลีและพบมากในบร็อกโคลี่ มีฤืทธิ์กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ ขับสารพิษจากตับ
สีม่วงและสีน้ำเงิน
สารที่พบในอาหารสีม่วงและสีน้ำเงิน
- แอนโทไซยานิน สีม่วงจากพืชตระกูลเบอร์รี่ สามารถช่วยเสริมประสิทธิภาพในการมองเห็น และลดปัญหาที่เกิดจากระบบหมุนเวียนโลหิตได้
สีขาว
สารที่พบในอาหารสีขาว
- อัลลิซิน (Allicin) เป็นสารให้กลิ่นในกระเทียม ซึ่งกระเทียมมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ ฆ่าเชื้อรา ป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ต้านการแข็งตัวของเลือด
- เควอร์ซิทิน (Quercetin) เป็นสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ พบมากในหอมหัวใหญ่ ผลแอปเปิ้ล ต้นกระทเียม ผลฝรั่ง และชาขาว มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอการแข็งตัวและอุดตันของหลอดเลือด
- ไอโซฟลาโวน (Isoflavone) พบในถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง มีฤทธิ์เป็นเอสโตรเจนอย่างอ่อน หรือที่เรียกว่า ไฟโตเอสโตรเจน
- แซนโทน (Xanthone) พบในเนื้อสีขาวแะเปลือกมังคุด มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ลดอาการปวดข้อเข่า ต้านจุลชีพหลายชนิด เช่น เชื้อวัณโรค และรักษาระบบภูมิตุ้มกันให้อยู่ในสภาพที่ดี
- เพกทิน เป็นเส้นใยละลายน้ำได้ พบในแอปเปิ้ล ฝรั่ง แก้วมังกร มีความสามารถในการจับกับน้ำตาลและปล่อยโมเลกุลน้ำตาลสู่กระแสเลือดอย่างช้าๆ ทำให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดค่อนข้างคงที่ จึงลดความอยากอาหาร ทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm
รู้จักกับ "วิตามินดี" แล้วจะรู้ว่ามีดีกว่าที่คิด !!
วิตามินดี (Vitamin D)
วิตามินดี (Cholecalcifero) เป็นที่รู้จักกันดีในนามของ "วิตามินแดด" หลายๆคนอาจมองข้ามการเสริมวิตามินดี แต่จริงๆแล้ววิตามินดีเป็นวิตามินที่สามารถช่วยเสริมประสิทธิภาพการดูดซึมและการทำงานของวิตามินและแร่ธาตุอีกหลายชนิด เช่น แคลเซียม วิตามินเอ วิตามินซี ดังนั้น วิตามินดีเป็นอีกหนึ่งวิตามินที่สายเฮลท์ตี้ตัวจริงไม่ควรพลาด !
หน้าที่ของวิตามินดี
วิตามินดี เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับ Metabolism ของแคลเซียม และฟอสฟอรัล โดยการดูดซึมเข้ามาสะสมในร่างกาย เพื่อใช้สำหรับเสริมสร้างกระดูก กระดูกอ่อน ฟัน และเล็บ ดังนั้น การรับประทานวิตามินดีร่วมกับแคลเซียมเป็นประจำ จะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมได้ดียิ่งขึ้น
แหล่งของวิตามินดี
- ร่างกายได้รับวิตามินดีจากอาหาร เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาเฮร์ริง ปลาแซลมอน ปลาทูน่า นม และผลิตภัณฑ์จากนม ซึ่งวิตามินดีที่เรารับประทานเข้าไปจะถูกดูดซึมพร้อมไขมันผ่านางผนังลำไส้
- นอกจากนี้ร่างกายยังสามารถได้รับ วิตามินดี จากแสงแดด จึงเป็นที่มาของชื่อ "วิตามินแดด" โดยรังสียูวีจากแสงแดดจะทำปฏิกิริยากับน้ำมันที่ผิวหนัง ก่อให้เกิดการสร้างวิตามินและจะถูกดูดซึมกลับเข้าสู่ร่างกาย
เราต้องการวิตามินดีวันละเท่าไหร่ ?
โดยเฉลี่ยแล้วในทุกช่วงอายุ ร่างกายจะต้องการวิตามินดีวันละประมาณ 200-400 IU
วิตามินดี มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร ?
- ส่งเสริมการใช้แคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งจำเป็นต่อความแข็งแรงของกระดูกและฟัน
- หากรับประทานวิตามินดี ร่วมกับวิตามินเอและซี จะช่วยในการป้องกันโรคหวัดได้
- ช่วยในการรักษาโรคเยื่อบุตาอักเสบ
- ช่วยในการดูดซึมของวิตามินเอ
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าร่างกายขาดวิตามินดี ?
- การขาดวิตามินดีในเด็ก อาจทำให้เกิดโรคกระดูกอ่อน (Riskets) โดยกระดูกขาจะโก่ง หรือหัวเข่าชนกัน กระดูกหน้าอกผิดรูป กระดูกข้อมือ ข้อเท้ามีขนาดใหญ่ผิดปกติ ขากรรไกรแคบ ทำให้ฟันเก บิดเบี้ยว หรือมีฟันผุขั้นรุนแรง
- ส่วนในผู้ใหญ่ อาจทำให้กระดูกไม่แข็งแรงและหักง่าย รวมถึงมีภาวะกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm