Life Style

ผัก ผลไม้ 5 สี ดีต่อสุขภาพยังไงบ้าง ??

ผัก ผลไม้ 5 สี

ดีต่อสุขภาพยังไง ??

 

สีแดง

สารที่พบในอาหารสีแดงหรือสีชมพู

  • ไลโคปีน (Lycopene) เป็นสารกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่ให้สีแดงแก่มะเขือเทศ แตงโม ส้มโอแดง มะละกอ ดอกกระเจี๊ยบ สตรอเบอร์รี่ เชอร์รี่ เมล็ดทับทิม  หัวบีท ผลแก้วมังกร รวมถึงเนื้อสัตว์บางชนิด เช่น ปลาแซลมอน กุ้ง ปู
  • บีทาเลน (Betalain) คือ สารสีแดงและสีม่วงในหัวบีท ผลแก้วมังกร มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ

 

สีเหลืองและสีส้ม

สารที่พบในอาหารสีเหลืองและสีส้ม

  • เบต้าแคโรทีน (Beta carotene) เป็นเม็ดสีเหลือง สีแสดที่พบในพืชหลายชนิด เช่น แครอท มะละกอ มะกอก ลูกพลับ เป็นสารที่มีศักยภาพสูงในการต่อต้านอนุมูลอิสระ และเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ ซึ่งมีประโยชน์ต่อการมองเห็นและยังช่วยให้ผิวพรรณสดใสอีกด้วย
  • ฟลาโวนอยด์ พบในเปลือกส้มและเยื่อส้ม หรือที่เรียกว่า "Citrus bioflavonoid" ออกฤทธิ์เสริมความแข็งแรงของหลอดเลือดฝอย
  • มอริน (Morin) เป็นฟลาโวนอยด์ที่พบในขนุน มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ ต้ายไวรัสเริม (HSV-2) และลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง
  • เอนไซม์โปรตีนโบรมีเลน (Bromelain) พบในสับปะรด เป็นเอนไซม์ย่อยโปรตีนที่ได้จากเนื้อและแกนของผลสับปะรด มีฤทธิ์ต้านการรวมตัวกันของเกล็ดเลือด ต้านการอักเสบ
  • ลูทีน (Lutein) เป็นสารสีเหลืองที่ให้สีสันแก่พืช และยังมีประโยชน์ในการช่วยบำรุงสายตา ป้องกันความเสื่อมของ Macula ในดวงตา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งทีทำให้คนแก่ชราตาบอด

 

สีเขียว

สารที่พบในอาหารสีเขียว

  • คลอโรฟีลล์ เป็นสารที่ทำให้พืชมีสีเขียว ยิ่งมีสีเขียวเข้มมากแสดงว่ามีปริมาณคลอโรฟิลล์มาก เช่น ตำลึง คะน้า บร็อกโคลี่ ชะพลู ใบบัวบก ชะอม ผักบุ้ง ผักโขม ผลอะโวคาโด ขึ้นถ่าย แตงกวา ซึ่งเมื่อสารคลอโรฟิลล์ถูกย่อยในร่างกายแล้ว จะสามารถช่วยลดโอการสเสี่ยงในการเกิดมะเร็งได้
  • ลูทีน (Lutein) เป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ พบในผักใบเขียใเข้ม เช่น ผักคะน้า ผักบุ้ง ผักโขม ผลอะโวคาโด ซึ่งมีประโยชน์ต่อดวงตา สามารถช่วยกรองแสงสำน้ำเงินที่มีพลังงานสูงได้
  • อินโดล-3-คาร์บินอล (I3C) พบในบร็อคโคลี่ กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ มีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งได้ และช่วยกำจัดสารพิษในร่างกายได้ดี
  • ซัลโฟราเฟน (Sulforaphane) เป็นสารไทโอไซยาเนต พบในพืชวงศ์กะหล่ำปลีและพบมากในบร็อกโคลี่ มีฤืทธิ์กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ ขับสารพิษจากตับ

 

สีม่วงและสีน้ำเงิน

สารที่พบในอาหารสีม่วงและสีน้ำเงิน

  • แอนโทไซยานิน สีม่วงจากพืชตระกูลเบอร์รี่ สามารถช่วยเสริมประสิทธิภาพในการมองเห็น และลดปัญหาที่เกิดจากระบบหมุนเวียนโลหิตได้

 

สีขาว

สารที่พบในอาหารสีขาว

  • อัลลิซิน (Allicin) เป็นสารให้กลิ่นในกระเทียม ซึ่งกระเทียมมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ ฆ่าเชื้อรา ป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ต้านการแข็งตัวของเลือด
  • เควอร์ซิทิน (Quercetin) เป็นสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ พบมากในหอมหัวใหญ่ ผลแอปเปิ้ล ต้นกระทเียม ผลฝรั่ง และชาขาว มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอการแข็งตัวและอุดตันของหลอดเลือด
  • ไอโซฟลาโวน (Isoflavone) พบในถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง มีฤทธิ์เป็นเอสโตรเจนอย่างอ่อน หรือที่เรียกว่า ไฟโตเอสโตรเจน
  • แซนโทน (Xanthone) พบในเนื้อสีขาวแะเปลือกมังคุด มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ลดอาการปวดข้อเข่า ต้านจุลชีพหลายชนิด เช่น เชื้อวัณโรค และรักษาระบบภูมิตุ้มกันให้อยู่ในสภาพที่ดี
  • เพกทิน เป็นเส้นใยละลายน้ำได้ พบในแอปเปิ้ล ฝรั่ง แก้วมังกร มีความสามารถในการจับกับน้ำตาลและปล่อยโมเลกุลน้ำตาลสู่กระแสเลือดอย่างช้าๆ ทำให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดค่อนข้างคงที่ จึงลดความอยากอาหาร ทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


รู้จักกับ "วิตามินดี" แล้วจะรู้ว่ามีดีกว่าที่คิด !!

วิตามินดี (Vitamin D)

วิตามินดี (Cholecalcifero) เป็นที่รู้จักกันดีในนามของ "วิตามินแดด"  หลายๆคนอาจมองข้ามการเสริมวิตามินดี แต่จริงๆแล้ววิตามินดีเป็นวิตามินที่สามารถช่วยเสริมประสิทธิภาพการดูดซึมและการทำงานของวิตามินและแร่ธาตุอีกหลายชนิด เช่น แคลเซียม วิตามินเอ วิตามินซี ดังนั้น วิตามินดีเป็นอีกหนึ่งวิตามินที่สายเฮลท์ตี้ตัวจริงไม่ควรพลาด !

หน้าที่ของวิตามินดี

วิตามินดี เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับ Metabolism ของแคลเซียม และฟอสฟอรัล โดยการดูดซึมเข้ามาสะสมในร่างกาย เพื่อใช้สำหรับเสริมสร้างกระดูก กระดูกอ่อน ฟัน และเล็บ ดังนั้น การรับประทานวิตามินดีร่วมกับแคลเซียมเป็นประจำ จะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมได้ดียิ่งขึ้น

แหล่งของวิตามินดี

  • ร่างกายได้รับวิตามินดีจากอาหาร เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาเฮร์ริง ปลาแซลมอน ปลาทูน่า นม และผลิตภัณฑ์จากนม ซึ่งวิตามินดีที่เรารับประทานเข้าไปจะถูกดูดซึมพร้อมไขมันผ่านางผนังลำไส้
  • นอกจากนี้ร่างกายยังสามารถได้รับ วิตามินดี จากแสงแดด จึงเป็นที่มาของชื่อ "วิตามินแดด" โดยรังสียูวีจากแสงแดดจะทำปฏิกิริยากับน้ำมันที่ผิวหนัง ก่อให้เกิดการสร้างวิตามินและจะถูกดูดซึมกลับเข้าสู่ร่างกาย

 

เราต้องการวิตามินดีวันละเท่าไหร่ ?

โดยเฉลี่ยแล้วในทุกช่วงอายุ ร่างกายจะต้องการวิตามินดีวันละประมาณ 200-400 IU

 

วิตามินดี มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร ?

  • ส่งเสริมการใช้แคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งจำเป็นต่อความแข็งแรงของกระดูกและฟัน
  • หากรับประทานวิตามินดี ร่วมกับวิตามินเอและซี จะช่วยในการป้องกันโรคหวัดได้
  • ช่วยในการรักษาโรคเยื่อบุตาอักเสบ
  • ช่วยในการดูดซึมของวิตามินเอ

 

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าร่างกายขาดวิตามินดี ?

  • การขาดวิตามินดีในเด็ก อาจทำให้เกิดโรคกระดูกอ่อน (Riskets) โดยกระดูกขาจะโก่ง หรือหัวเข่าชนกัน กระดูกหน้าอกผิดรูป กระดูกข้อมือ ข้อเท้ามีขนาดใหญ่ผิดปกติ ขากรรไกรแคบ ทำให้ฟันเก บิดเบี้ยว หรือมีฟันผุขั้นรุนแรง
  • ส่วนในผู้ใหญ่ อาจทำให้กระดูกไม่แข็งแรงและหักง่าย รวมถึงมีภาวะกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


ทำไมถึงมีอาการ "ตาล้า" เพราะแสงสีฟ้าจากหน้าจอ ?

ทำไมตาล้า เพราะ "แสงสีฟ้า" จากหน้าจอ ??

 

แสงสีฟ้า คืออะไร ?

แสงสีฟ้าคือแสงที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา ถือเป็นหนึ่งในสามของแสงขาวจากแสงยูวี สามารถมองเห็นได้และมีพลังงานสูง (high-energy visible)
โดยแสงทั้งหมดมี 7 สี คือ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง และแสงสีฟ้าหรือน้ำเงิน ซึ่งแต่ละสีมีความยาวคลื่นและพลังงานแตกต่างกัน ซึ่งแสงที่เรามองเห็นได้จะอยู่ที่ช่วงความยาวคลื่นประมาณ 400-700 nm และแสงสีฟ้าอยู่ที่ช่วงประมาณ 380-480 nm จึงเป็นแสงที่เรามองเห็นได้นั่นเอง

 

ทำไมแสงสีฟ้า ทำให้ตาล้า ?

จริงๆแล้วแสงสีฟ้ามีผลต่อฮอร์โมนที่ช่วยทำให้ร่างกายกระฉับกระเฉง ซึ่งฟังดูดี แต่หากเราได้มองแสงสีฟ้าผิดเวลา เช่น เวลาใกล้เข้านอน จะเป็นการรบกวนการนอนของร่างกาย และการมองแสงสีฟ้าเป็นเวลานานๆ อาจมีผลทำให้จอประสาทตาเสื่อมได้ ซึ่งแสงสีฟ้ามักมาจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้กันอยู่ทุกวัน เช่น สมาร์ทโฟน จอคอมพิวเตอร์ จอโทรทัศน์ ดังนั้น ไม่ควรใช้สายตาในการจ้องมองอุปกรณ์เหล่านี้นานจนเกินไป เพราะจะเป็นผลเสียต่อสายตาในระยะยาวได้

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


ถ้าอยาก "สมองดี" ให้ DHA เป็นตัวช่วย !!

รู้หรือไม่ ?? มีสารอะไรในน้ำมันปลา

น้ำมันปลา จัดอยู่ในสารอาหารประเภทไขมัน ซึ่งเป็นแหล่งของกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย คือ กรดไขมันโอเมก้า-3 (Omega-3) ซึ่งโอเมก้า-3 ที่พบในน้ำมันปลามี 2 ชนิด คือ EPA และ DHA

  1. EPA (Eicosapentaenoic Acid) มีคุณสมบัติในการลดไขมัน ไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ลดคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL Cholesterol) ในเลือด ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด ป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือดซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคหลอดเลือดสมองตีบตันและหัวใจขาดเลือด จึงลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
  2. DHA (Docosahexaenoic Acid) เป็นกรดไขมันที่เป็นส่วนประกอบของสมองและดวงตา ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง การเรียนรู้ ความจำ DHA จึงจำเป็นต่อการเจริญเติบตาด้านสมองและดวงตาของเด็กๆ

 

คงได้ยินกันบ่อยๆว่า DHA มีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง จึงมีผสมอยู่ในอาหารและเครื่องดื่มสำหรับเด็กๆมากมาย วันนี้เราจะมาดูกันว่าจริงๆแล้ว DHA คืออะไร และมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไรบ้าง ?

DHA (Docosahexaenoic Acid) เป็นกรดไขมันที่เป็นส่วนประกอบของสมองและดวงตา ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง การเรียนรู้ ความจำ DHA จึงจำเป็นต่อการเจริญเติบตาด้านสมองและดวงตาของเด็กๆ

ดังนั้น DHA จึงเป็นสารที่จำเป็นและมีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของเด็กๆ ที่ไม่ควรมองข้าม

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


รู้หรือไม่ Astaxanthin ช่วยดูแลดวงตาได้

 

 

ถ้าพูดถึงสารต้านอนุมูลอิสระที่กำลังมาแรงที่สุดในช่วงนี้ คงหนีไม่พ้น "แอสตาแซนธิน" (Astaxanthin) ซึ่งช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้ดีมาก แต่นอกจากนั้น ยังสามารถบำรุงสายตาได้ดีมากอีกด้วย

แอสตาแซนธิน คืออะไร ?

แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) เป็นสารสีส้มแดงในกลุ่มแคโรทีนอยด์ แต่มีข้อแตกต่างจากสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์อื่นๆ คือ แอสตาแซนธินจะไม่สามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้

แอสตาแซนธินพบได้มากในสาหร่ายขนาดเล็ก เช่น Haematococcus pluvialis ยีสต์ ปลาแซลมอนที่มาจากทะเลเท่านั้น (แซลมอนเลี้ยง จะไม่มีแอสตาแซนธิน เพราะปลาสร้างแอสตาแซนธินเองไม่ได้ ต้องได้รับจากการกินสาหร่ายเข้าไป)

 

แอสตาแซนธิน มีประโยชน์อะไรบ้าง ?

✔ แอสตาแซนธินมีฟทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระได้ดีมาก

✔ บำรุงระบบประสาท ลดโอกาสการเกิดโรคสมองเสื่อม

✔ เพิ่มประสิทธิภาพของระบบไหลเวียนโลหิต

✔ ช่วยชะลอวับ ป้องกันและลดการเกิดริ้วรอย

✔ บำรุงสายตา ลดอาการตาล้า

✔ ช่วยเสริมประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกัน

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


วิตามินเอฟ (Linoleic acid) คืออะไร ?

วิตามินเอฟ (Linoleic acid)

วันนี้พามารู้จักกับ "วิตามินเอฟ" ชื่อนี้อาจจะยังไม่คุ้นหูเท่าไหร่ เพราะส่วนมากจะรู้จักกันในนาม "Linoleic acid" มีหน้าที่เผาผลาญไขมันอิ่มตัว จึงลดน้ำหนักและลดไขมันชนิดไม่ดีในร่างกาย ป้องกันไขมันเกาะติดหลอดเลือด ส่งผลให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น ช่วยในการเปลี่ยนเบต้าคาโรทีนเป็นวิตามินเอ นอกจากนี้วิตามินยังมีกรดไขมันอิ่มตัวชนิดอื่นๆ เช่น ไลโนเลนิก และอะราคิโดนิกด้วย ซึ่งวิตามินเอห เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน มีหน่วยวัดเป็นมิลลิกรัม ซึ่งยังไม่ได้มีขนาดที่แนะนำให้รับประทานในแต่ละวันอย่างเป็นทางการ

แหล่งอาหารที่มีวิตามินเอฟ (Linoleic acid)

วิตามินเอฟ เป็นวิตามินที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ได้ จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร ซึ่งแหล่งอาหารที่มีวิตามินเอฟมาก คือ น้ำมันข้าวโพด น้ำมันฝ้าย  น้ำมันงา  น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันถั่วเหลืองและถั่วต่างๆ เช่น ถั่วลิสง เมล็ดฟังทอง วอลนัท พีแคน อัลมอนด์ และอะโวคาโด

วิตามินเอฟ ดียังไง ?

  • ช่วยป้องกันไม่ให้คอเลสเตอรอลสะสมที่ผนังหลอดเลือด
  • ช่วยให้เส้นผมและผิวพรรณมีสุขภาพดี
  • ช่วยป้องกันอันตรายจากรังสีเอกซเรย์ได้ในระดับหนึ่ง
  • ช่วยในเรื่องการเจริญเติบโตและสุขภาพโดยรวม โดยกระตุ้นการทำงานของต่อมเซลล์ต่างๆ และทำให้เซลล์ต่างๆได้รับแคลเซียม
  • ช่วยลดน้ำหนัก โดยส่งเสริมกระบวนการเผาผลาญไขมันอิ่มตัว

 

โรคที่เกิดจากการขาดวิตามินเอฟ

  • ผื่นผิวหนังอักเสบชนิดเอ็กซีมา
  • การเกิดสิว

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


อย่ามองข้าม... อาการของ "โรคไต"

 

📌 ไต มีหน้าที่ขับถ่ายของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญอาหารประเภทโปรตีน ควบคุมปริมาณน้ำและเกลือแร่ที่เกินความจำเป็นโดยขับออกทางปัสสาวะ และควบคุมการทำงานของฮอร์โมน

📌 อาการของโรคไต การอักเสบที่หลอดเลือดฝอยในไตจะเกิดขึ้นทีละน้อย อาการเมื่อเป็นเริ่มเป็นโรคไตจึงไม่ชัดเจน แต่หลังจากนั้นจะเริ่มมีอาการ เช่น

☑️ มีอาการบวมที่มือ

☑️ อ่อนเพลีย อ่อนแรง

☑️ ปวดศีระษะ ปวดเอว

☑️ คลื่นไส้อาเจียน

☑️ ปัสสาวะบ่อย

☑️ กระสับกระส่าย นอนไม่หลับ

☑️ มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านความรู้สึก เช่น ซึมเศร้า ความจำเสื่อม

☑️ ส่วนโรคไตระยะรุนแรงมีอาการขาดโปรตีนมาก ทำให้ตัวบวม

 

เลือกอาหารยังไง ? ลดความเสี่ยงโรคไต

  • เลือกรับประทานอาหารที่มีเกลือต่ำ
  • หลีกเลี่ยงเครื่องปรุงที่มีเกลือมาก เช่น ซุปก้อน ผงชูรส ผงฟู
  • หลีกเลี่ยงอาหารกึ่งสำเร็จรูป เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


5 สิ่งควรทำ เพื่อสุขภาพ "หัวใจแข็งแรง"

5 สิ่งควรทำ

เพื่อ "หัวใจแข็งแรง"

 

มองโลกในแง่ดี

มองโลกในแง่ดี ควบคุมอารมณ์โกรธ

ผลการวิจัยตีพิมพ์ในวานสารทางการแพทย์โรคหัวใจพบว่า "ผู้หญิงที่มองโลกในแง่ดีมีโอกาสเป็นความดันโลหิตสูงน้อยกว่าเป็นโรคหลอดเลือดในหัวใจน้อยกว่า เป็นเบาหวานน้อยกว่าและอายุยืนกว่าผู้หญิงที่มองโลกในแง่ร้าย"

นอกจากนี้ ผู้ที่เกรี้ยวกราดหรือชอบเอาชนะ มีโอกาสสูงที่จะหัวใจวายหรือเส้นเลือดในสมองแตก พออายุมากขึ้น ผนังเส้นเลือดก็หนาขึ้น ทำให้เพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจด้วย ผู้ที่มีอารมณ์หงุดหงิดง่ายก็จะยิ่งมีผนังหลอดเลือดที่หนากว่าผู้อื่น ดังนั้น การควบคุมอารมณ์ได้ดีและการออกกำลังกายคลายเครียด สามารถช่วยชะลอให้ผนังเส้นเลือดหนาช้าลงได้

 

หวานน้อย

กินหวานแต่น้อย ลดโอกาสการอักเสบในร่างกาย

อาหารและเครื่องดื่มที่มีรสหวาน มีน้ำตาลมาก สามารถทำให้เกิดการอีกเสบในร่างกายได้ ซึ่งเป็นผลเสียต่อเส้นเลือด มีงานวิจัยหลายชิ้นพบว่า "การอักเสบในร่างกายเป็นต้นเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจ"

 

ออกกำลังกาย

จัดจารางออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพดีระยะยาว

การจัดตารางออกกำลังกาย คือการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน ทำให้การออกกำลังกายเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินชีวิต ส่งผลให้ได้ใช้เวลาออกกลังกายเป็นประจำ ทำให้ร่างกายแข็งแรง และแน่นอนว่าการออกกำลังกายเป็นประจำส่งผลให้หัวใจแข็งแรงด้วยเช่นกัน

การออกกำลังกาย สามารถลดความเครียดและอาการซึมเศร้าซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคอื่นๆได้ รวมถึงโรคหัวใจซึ่งอาจเกิดจากการใช้ชีวิตที่ไม่ค่อยขยับเขยื้อน

การออกกำลังกายเป็นประจำจึงช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ รวมถึงโรคหัวใจด้วย

 

โรคหัวใจ

เลิกนั่งดูโทรทัศน์ทั้งวัน ขยับร่างกาย ลดความเสี่ยงหลายโรค

รู้หรือไม่ว่า ??... ทุกชัวโมงที่นั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์ จะเป็นการเพิ่มโอกาสเสี่ยงตายจากโรคหัวใจร้อยละ 18

ผลการวิจัยพบว่า "การใช้เวลาอยู่หน้าจอโทรทัศน์จะเพิ่มโอกาสเป็นโรคหัวใจ" เพราะเป็นการนั่งเฉยๆติดต่อกันเป็นเวลานานๆ เป็นผลเสียต่อระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด

นอกจากนี้ อย่าลืมว่าการนั่งดูจอคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟนต่างๆติดต่อกันนานจนเกินไป ก็เป็นผลเสียต่อร่างกายได้เช่นกัน ดังนั้น การขยับ ยืดเส้นยืดสายเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

 

ฝึกลมหายใจ

หายใจลึกๆ ช่วยคลายเครียด

หลายคนคงสงสัยว่า... เพียงแค่การหายใจเข้าลึกๆ จะช่วยให้หัวใจแข็งแรงได้ยังำง ??

การหายใจ เป็นส่วนหนึ่งของการพักผ่อน ไม่ว่าจะเป็นการฝึกลมหายใจ เล่นโยคะ นั่งสมาธิ การหายใจช้าๆจะช่วยให้อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง จิตใจโปร่งใสขึ้น และเป็นการช่วยลดความเครียดได้

ดังนั้น เมื่อต้องเผชิญกับความเครียด เพียงแค่ลองหยุดพัก หายใจลึกๆ จะสามารถช่วยลดความเครียดได้ง่ายๆ

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


ไขข้อข้องใจ... "อาหารคลีน" คืออะไร ?

อาหารคลีน (Clean Food)

อาหารคลีน หรือ Clean food จริงๆแล้วเป็นการเลือกรับประทานอาหารที่ต้องการหลีกหนีจากอาหารประเภท Dirty Food หรือ Junk Food ทั้งหลาย ดังนั้น Clean Food จึงเป็นอาหารที่มีกรรมวิธีการปรุงตรงข้ามกับอาหารพวก Junk Food โดยสิ้นเชิง Clean Food เลยเป็นอาหารที่ผ่านการปรุง ปรับแต่งรสชาติ เติมสี เคลือบสีต่างๆน้อยที่สุด ซึ่งอาหารในสมัยนี้มักผ่านการปรุงแต่งรสชาติมาก ไม่ว่าจะเป็นรสหวาน รสเค็ม ซึ่งล้วนเป็นอันตรายต่อสุขภาพเมื่อรับประทานมากอย่างต่อเนื่อง แต่หลายๆคนอาจยังติดอยู่กับรสชาติที่ชอบกินมาตลอด เช่น รสหวาน เป็นรสที่ตั้งแต่เด็กๆจนถึงวัยผู้ใหญ่มักติดกันมากที่สุด เพราะอยู่ทั้งในอาหาร ขนม ไปจนถึงเครื่องดื่มต่างๆ ซึ่งรสหวานเป็นรสชาติที่กินแล้วช่วยให้รู้สึกอารมณ์ดี มีความสุข เสมือนได้พักผ่อน ดังนั้น เวลาเครียดๆ คนส่วนมากมักทานของหวานๆเพื่อดับทุกข์ หรือแม้แต่เวลาอารมณ์ดีก็กินหวานอยู่ดีเพราะติดกันงอมแงม ในทางกลับกัน รสหวานๆที่ทำให้อารมณ์ดี กลับไม่ดีต่อสุขภาพร่างกาย ส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน

บางคนเข้าใจผิดว่าการกินอาหารคลีน คือ การกินผักผลไมเยอะๆ แต่ความจริงแล้วการกินผลไม้ต่างๆก็ต้องเลือกกินเช่นกัน เพราะผลไม้ในประเทศไทย มีหลายชนิดที่มีรสหวานจัด  ซึ่งจะทำให้น้ำตาลในเลือดและไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้น  เช่น ทุเรียน

นอกจาก "Clean Food" แล้ว ยังมีชื่อเรียกอื่นๆ ที่ใช้เรียกอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น

Whole Food (อาหารทั้งส่วน)

ซึ่งมาจากธุรกิจซูเปร์มาเก็ตในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีจุดขายคือการจำหน่ายสินค้าที่ไม่มีสารกัดบูด ไม่แต่งสี ไม่แต่งกลิ่น และไม่ใส่สารให้ความหวาน เน้นการจำหน่ายอาหารเพื่อสุขภาพ  ดังนั้น เมื่อนึกถึงอาหารเพื่อสุขภาพ คนจำนวนมากก็จะนึกถึงคำว่า Whole Food

Organic Food (อาหารออร์แกนิก) หรือ อาหารเกษตรอินทรีย์

คือ อาหารที่มีกระบวนการผลิตทางการเกษตรที่ปราศจากสารปนเปื้อนหรือปลอมปน เช่น แบคทีเรีย ไวรัส พยาธิ สารพิษจากเชื้อรา และสารเคมีทุกชนิด รวมถึงไม่ทำการตัดต่อทางพันธุกรรมจากเมล็ดพันธุ์ (Non-GMO)

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


7 วิธีดูแลสุขภาพดวงตา ทำได้ทุกวัน

 

1. นั่งห่างจากจอคอมพิวเตอร์ในระยะที่เหมาะสมประมาณ 1 ฟุต 10 ซม.
2. อ่านหรือเขียนหนังสือโดยมีแสงสว่างเพียงพอ
3. พักสายตาบ้าง ไม่ควรใช้สายตาติดต่อกันนานๆ
4. หลีกเลี่ยงการมองของที่มีสีขาว หรือวัตถุที่สะท้อนแสงมากๆกลางแดด
5. ควรสวมแว่นกันแดด หรือสวมหมวกทุกครั้งเมื่ออกแดดจ้า
6. ตรวจวัดสายตาหรือพบจักษุแพทย์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
7. รับประทานอาหารหรืออาหารเสริมที่มีประโยชน์ต่อสายตา

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


มูฟง่ายๆ กับการออกกำลังกาย 3 แบบ ที่เหมาะกับคุณ

การออกกำลังกาย 3 แบบ

 

ออกกำลังกายหัวใจ

ออกกำลังกายหัวใจ (Cardio Exercise)

เพื่อความแข็งแรงของระบบหัวใจ และหลอดเลือด

 

ออกกำลังกาย เวทเทรนนิ่ง

ออกกำลังกายเวทเทรนนิ่ง (Weight Training)

เพิ่มความแข็งแรง และความทนทานของกล้ามเนื้อ

 

ออกกพลังกาย ยืดเส้นเอ็น

ออกกำลังกายยืดเส้นเอ็น (Stretching)

เพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


ทำไมผู้ที่ได้รับยาลดไขมันในเลือด ควรรับประทาน CoQ10

โคคิวเท็น (CoQ10)

โคคิวเท็น (CoQ10) เป็นสารอาหารธรรมชาติที่ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นเพื่อเป็นตัวร่วมในการสร้างพลังงานภายในไมโตครอนเดรีย หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ “เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกาย” พบมากในเซลล์หรืออวัยวะที่ใช้พลังงานมากเช่น หัวใจ ไต ปอด ตับ ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายสามารถสร้างได้เองตามธรรรมชาติ แต่ต้องอาศัยสารอาหารหลายชนิดเช่น ไทโรซีน ฟีนิลอะลานีน อะซิทิล โคเอ และวิตามินกว่า 7 ชนิด ในการสร้างมันขึ้นมา

 

 

CoQ10

กับผู้ป่วยที่มีกล้ามเนื้ออ่อนแรง สำคัญกว่าที่คิด !!

สาเหตุหลักของโรคหัวใจ คือ การมีระดับไขมันในเลือดหรือโคเลสเตอรอลสูง ดังนั้นปัจจุบันจึงมีการจ่ายยาในกลุ่มที่ช่วยลดโคเลสเตอรอลอยู่เป็นจำนวนมากโดยเฉพาะยาในกลุ่มที่ชื่อว่า สแตติน “Statin” แม้ว่ายากลุ่มนี้จะมีประสิทธิภาพในการลดโคเลสเตอรอลได้อย่างดี แต่จากการศึกษาพบว่า การรับประทานยากลุ่มนี้จะส่งผลต่อการลดลงของ Ubiquinol CoQ10 ในร่างกาย เนื่องจากกระบวนการทำงานของสแตติน (Statin) จะเข้าไปยับยั้งตั้งแต่ขั้นตอนต้นๆ ของการสร้างโคเลสเตอรอล ซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกับการสร้าง Ubiquinol CoQ10 ในร่างกาย

 

กรณีศึกษา

ในปี 2012 มีการทดลองให้ Q10 กับผู้กล้ามเนื้ออ่อนแรง
และมีอาการเจ็บกล้ามเนื้อ อันเนื่องมาจากการรับประทานยาลดไขมันในเลือด
หรือที่รู้จักกันดีในชื่อยาสแตติน (Statin)
วันละ 60 มิลลิกรัม เป็นเวลา 6 เดือน

มาดูกันว่ามีผลยังไงกันบ้าง ??
จากกลุ่มตัวอย่างอายุ 50-70 ปีที่ได้รับยาลดไขมันในเลือด (Statin) จำนวน 25 คน
มีอาการปวดและกล้ามเนื้ออ่อนแรง

เมื่อได้รับ CoQ10 วันละ 60 มิลลิกรัม เป็นเวลา 6 เดือน พบว่า
✔ เจ็บปวดกล้ามเนื้อ ลดลง 54%
✔ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ลดลง 44%
✔ CoQ10 ในร่างกาย เพิ่มขึ้น 194%

 

โดยปกติแล้ว ยูบิควินอล โคคิวเท็น จะลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น แต่นอกจากเรื่องอายุแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อการลดลงของ โคคิวเท็น ได้แก่

✔ กระบวนการเผาผลาญที่เพิ่มขึ้น

✔ ภาวะความเครียด

✔ การรับประทานอาหารที่ไม่เพียงพอ

✔ ความสามารถในการดูดซึมของร่างกายลดลง

✔ โรคบางชนิดเช่น เบาหวาน มะเร็ง และหัวใจ

✔ การรับประทานยาลดไขมันในกลุ่มสแตติน (Statin)

 

ทุกวันนี้คุณได้รับ Ubiquinol CoQ10 เพียงพอหรือไม่ ?

โดยปกติปริมาณ ที่เพียงพอต่อการดูแลร่างกายให้แข็งแรงจะอยู่ที่ 100-300 มิลลิกรัม/วัน

 

รู้หรือไม่ ?? Co Q10 มีสองรูปแบบ คือ

  1. ยูบิควิโนน โคคิวเท็น (Ubiquinone CoQ10) คือ รูปแบบที่ยังไม่พร้อมใช้งาน (Inactive form) เมื่อรับประทานเข้าไปแล้ว ต้องรอการเปลี่ยนแปลงฟอร์มก่อนถึงจะนำไปใช้ได้
  2. ยูบิควินอล โคคิวเท็น (Ubiquinol CoQ10) คือ รูปแบบที่พร้อมใช้งาน จัดเป็นรูปแบบหลักของ CoQ10 ที่ร่างกายต้องกาย โดยส่วนมากจะพบในคนที่มีอายุน้อยและสุขภาพดี ถ้าเป็นการรับประทานเข้าไป ก็จะสามารถดูดซึมนำไปใช้ได้ทันที

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


วิธีดูแลลูกน้อยเมื่อไข้ขึ้น รับมือหน้าฝน

คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ คงตกใจไม่น้อยเลยเวลาที่ลูกน้อยร้องจ้า ไม่สบายตัว เพราะไข้ขึ้น

ไม่ต้องตกใจไปเมื่อเด็กมีไข้ ดูแลเขายังไง มาอ่านกันได้เลย

1. เตรียมน้ำอุ่น อุณหภูมิไม่เกิน 40 องศาใส่กะละมัง
2. นำผ้าอ้อม หรือผ้าขนหนู ประมาณ 6-7 ผืน มาชุบน้ำพอประมาณ
3. วางผ้าประคบไว้ตามข้อพับแขน-ขา คอ ศีรษะ และด้านหลังลำตัว
4. ใช้ผ้าเช็ดตามลำตัว ด้วยความแรงพอสมควร เพื่อเปิดรูขุมขนให้ระบายความร้อนออกจากร่างกาย
5. หากผ้าเริ่มร้อน ให้ชุบน้ำใหม่ก่อน เพราะน้ำจากผ้า จะช่วยนำความร้อนออกจากร่างกายได้ดี
6. ให้ยาลดไข้ที่มีตัวยาพาราเซตามอล ตามปริมาณที่กำหนด ทุกๆ 4-6 ชั่วโมง
7. หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 3 วัน ควรพาไปพบแพทย์ทันที

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


5 อาหารเสริม เพื่อผิวสวย มีอะไรบ้างมาดูกัน

วิตามินซ๊

วิตามินซี (Vitamin C)

วิตามินซีหรือกรดแอสคอร์บิก (Ascorbic Acid) พบได้ในผลไม้รสเปรี้ยวทุกชนิด มีมากที่สุดในผลมะขามป้อม โดยมะขามป้อม 100 กรัมมีวิตามินซีประมาณ 1,700 มิลลิกรัม รองลงมาคืออะซโรลาเชอร์รี่ โดยอะซโรลาเชอร์รี่ 100 กรัมจะให้วิตามินซีประมาณ 1,600 มิลลิกรัม และยังพบได้ในผักใบเขียว มันฝรั่ง มะเขือเทศ โดยวิตามินซีที่ดีที่สุดคือวิตามินซีที่มาจากผลไม้ เพราะจะมีสารซีตรัสไบโอฟลาโวนอยด์ (Citrus bioflavonoids) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่สามารถช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ ลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งและช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของวิตามินซีได้ดี (คลิ้กเพื่ออ่านเพิ่มเติม วิตามินซีจากธรรมชาติ VS วิตามินซีสังเคราะห์ ) แต่ข้อควรระวังของวิตามินซีก็คือ วิตามินซีมีคุณสมบัติเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ และเป็นวิตามินที่สลายตัวเร็วเมื่อตั้งทิ้งไว้ในอากาศ โดนแสง และความร้อน ทำให้พืชผักที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารต่างๆมักสูญเสียวิตามินซีไปได้ง่ายๆในระหว่างขั้นตอนการปรุงอาหาร  เช่น การหั่นผักแล้วล้างก็อาจะทำให้วิตามินซีละลายไปกับน้ำแล้ว หรือการนำไปต้มด้วยความร้อนก็สามารถทำลายวิตามินซีได้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ร่างกายของเราไม่สามารถผลิตและไม่สะมารถสะสมวิตามินซีไว้ได้นาน เพราะวิตามินซีละลายในน้ำและจะถูกขับออกทางปัสสาวะ ทำให้ร่างกาของเรามีโอากาสที่จะขาดวิตามินซีได้ง่าย จึงมีการแนะนำให้รับประทานวิตามินซีเป็นประจำทุกวันเพื่อป้องกันการ ขาดวิตามินซี นั่นเอง

วิตามินซี กับ ผิวพรรณ เป็นของคู่กัน คนส่วนมากรู้จักวิตามินซีในฐานนะของวิตามินบำรุงผิวพรรณ ช่วยให้ผิวกระจ่างใส นั่นเป็นเพราะว่าวิตามินซีมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งส่งผลต่อโครงสร้างของชั้นผิวหนัง เมื่อชั้นผิวมีคอลลาเจนที่สมบูรณ์ ก็จะส่งผลให้ผิวพรรณมีความเต่งตึงเปล่งปลั่ง เป็นที่มาของผิวสวยเนียนนุ่ม และช่วยให้แผลต่างๆสมานได้เร็วขึ้น นอกจากนั้น วิตามินซียังเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระให้กับร่างกาย สามารถช่วยชะลอความเหี่ยวย่นที่เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ผิวหนังได้ดีอีกด้วย จึงเรียกได้ว่าวิตามินซีเป็นวิตามินคู่ผิวสวยที่ไม่ควรเลยจริงๆ

 

กลูตาไธโอน

กลูต้าไธโอน (Glutathione)

กลูต้าไธโอนมีหน้าที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในเลือด จึงส่งเสริมการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ เช่น วิตามินซี ทำให้วิตามินซีมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งวิตามินซีและสารต่อต้านอนุมูลอิสระนี้เองที่เป็นตัวหลักในการทำให้ผิวขาว เมื่อร่างกายมีกรดอะมิโนซีสเทอีนหรือกลูต้าไธโอน สารทั้ง 2 ตัวนี้จะจับกับโดปาควิโนนแล้วเปลี่ยนเป็นฟีโอเมลานินซึ่งมีสีอ่อนกว่าเมลานิน และลดการเกิดเม็ดสีผิวเข้ม

 

Zinc

สังกะสี (Zinc)

ซิงค์ เป็นแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการ แต่ต้องการในปริมาณเพียงเล็กน้อย หากเราสามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ ร่างกายของเรามักจะไม่ขาดแร่ธาตุสังกะสีนี้ แต่อาจมีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้ร่างกายของเราได้รับซิงค์ไม่เพียงพอ เช่น ผู้ป่วยเป็นโรคลำไส้อักเสบ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือผู้ที่ทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่เป็นประจำก็อาจทำให้ร่างกายขาดซิงค์ได้ การใช้ชีวิตประจำวันบางอย่างก็อาจส่งผลให้ร่างกายขาดซิงค์ได้เช่นกัน เช่น ผู้ที่ดื่มเหล้าเป็นประจำ หรือผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก อาจรับประทานอาหารน้อยกว่าที่ร่างกายต้องการ ทำให้ขาดซิงก์ได้

ถึงแม้ร่างกายจะต้องการซิงค์ในปริมาณเพียงเล็กน้อย แต่ซิงค์ก็มีประโยชน์ต่อร่างกายมาก ดังนั้น จึงเป็นแร่ธาตุที่ร่างกายขาดไม่ได้เช่นกัน

ซิงค์ช่วยลดสิว เผยผิวกระจ่างใส บำรุงผมและเล็บให้สุขภาพดี

แร่ธาตุซิงค์จำเป็นต่อการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนัง ผม เล็บ จึงมีส่วนช่วยในการสมานแผล รักาาแผลต่างๆให้หายเร็วมากยิ่งขึ้น สามารถช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และต้านการอักเสบได้ดี ดังนั้น ปัญหาผิวที่ทำให้ผิวเกิดการอักเสบ เช่น ปัญหาสิว รอยแผลเป็นจากการเป็นสิว ก็สามารถสมานให้หายได้ดีขึ้นด้วยการมีแร่ธาตุซิงค์ที่เพียงพอในร่างกาย

นอกจากนี้ซิงค์ยังช่วยลดความดันโลหิตสูง หลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบ กระตุ้นการส้รางเนื้อกระดูก ลดการสลายของกระดูกอีกด้วยม

 

อาหารผิว

คอลลาเจน (Collagen)

เป็นที่รู้จักกันมานานสำหรับ “คอลลาเจน” ที่ขึ้นชื่อเรื่องบำรุงผิวสวย แต่ความจริงแล้วคอลลาเจนยังมีประโยชน์ต่อร่างกายในส่วนอื่นๆอีกมากนะคะ

คอลลาเจน เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งพบได้ทั่วร่างกาย โดย 70% พบที่ผิวหนัง คอลลาเจนทำหน้าที่ในการประสานเนื้อเยื่อของผิวหนังเข้าด้วยกัน โดยจะอยู่ในรูปของไฟเบอร์ นอกจากผิวหนังแล้ว คอลลาเจนยังเป็นส่วนประกอบของกระดูก ฟัน เส้นเอ็น กระดูกอ่อนอีกด้วย

ประโยชน์ของคอลลาเจน

  • เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวหนัง
  • ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชิ้นมากขึ้น
  • มีส่วนช่วยในการลดเลือนริ้วรอย
  • คืนความอ่อนเยาว์ให้ผิว
  • เป็นองค์ประกอบของกระดูกอ่อน
  • มีส่วนช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


สาเหตุพา "ผมมัน" ที่คุณอาจยังไม่รู้

ไม่อยาก "ผมมัน" ควรเลิกทำแบบนี้ !!

 

สระผมบ่อยเกินไป ทำให้ ผมมัน

การสระผมบ่อยๆ หรือสระผมทุกวัน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หนังศีรษะแห้ง พอหนังศีรษะแห้ง ก็จะไปกระตุ้นให้หนังศีรษะผลิตน้ำมันออกมามากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ผมมัน ใครที่ประสบปัญหาผมมันควรสระผมให้น้อยลง อาจจะสระวันเว้นวัน หากวันไหนไม่มั่นใจให้ใช้ Dry Shampoo แทนนะคะ

 

สระผมด้วยน้ำอุ่น

การสระผมด้วยน้ำอุ่น นอกจากจะทำให้ผมแห้งแล้ว ยังทำให้ศีรษะแห้งอีกด้วย เช่นเดียวกับการสระผมบ่อย ยิ่งหนังศีรษะแห้ง ก็จะยิ่ง ไปกระตุ้นให้หนังศีรษะผลิตน้ำมันออกมามากยิ่งขึ้น/

 

หวีผมบ่อย

การหวีผมบ่อยมากเกินไปจะกระตุ้นให้หนังศีรษะผลิตน้ำมันออกมามาก และจะนำพาน้ำมันที่อยู่บริเวณหนังศีรษะให้กระจายไปทั่วเส้นผม ทำให้ผมมันเร็วกว่าปกติ

 

ความเครียด

ความเครียดส่งผลเสียต่อสุขภาพ ทั้งสุขภาพร่างกายและจิตใจ นำพาให้สุขภาพโดยรวมแย่ลง รวมถึงมีผลทำให้ร่างกายผลิตน้ำมันออกมามากขึ้นอีกด้วย ดีงนั้น จึงส่งผลต่อทั้งผิวที่อาจมันขึ้นและหนังศรีษะด้วย ทำให้ผมมันมากขึ้นนั่นเอง

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm