สาระน่ารู้

แมกนีเซียม เพื่อกระดูกและฟันที่แข็งแรง

 

"แมกนีเซียม" คงเป็นชื่อที่คุ้นหูกันอยู่แล้ว แต่รู้หรือไม่ว่า แมกนีเซียม มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร และเราจะได้รับสารแมกนีเซียมจากไหนได้บ้าง ?

แมกนีเซียม เป๋นแร่ธาตุชนิดหนึงที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งมีความจำเป็นต่อกระบวนการเผาผลาญของแคลเซียมและวิตามินซี เช่นเดียวกับฟอสฟอรัส โซเดียม และโพแทสเซียม ดังนั้น แมกนีเซียมจึงมีส่วนช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง นอกจากนี้ยังมีความจำเป็นต่อการทำงานของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ และยังสำคัญต่อการเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดให้เป็นพลังงาน

 

แมกนีเซียม ดีต่อร่างกายอย่างไร ?

✔ ช่วยให้ฟันแข็งแรง

✔ บรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย

✔ ช่วยเผาผลาญไขมันและเปลี่ยนเป็นพลังงาน

✔ ช่วยให้หลอดเลือดและหัวใจแข็งแรง

✔ ช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอล

✔ ป้องกันกล้ามเนื้อหดเกร็ง

✔ บรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือน (อาการ PMS)

แหล่งของ "แมกนีเซียม" จากธรรมชาติ

เราสามารถได้รับแมกนีเซียมได้จากการรับประทานธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี มะเดื่อฝรั่ง อัลมอนด์ ถั่ว ผักสีเขียวเข้ม กล่วย และเมล็ดธัญพืช

 

ร่างกายต้องการแมกนีเซียมปริมาณเท่าไหร่ ?

ผู้ใหญ่ ต้องการแมกนีเซียมวันละประมาณ 250 - 500 มิลลิกรัม ดังนั้น การรับประทานอาหารที่อุดมปด้วยแมกนีเซียมเป็นประจำจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะแมกนีเซียมเป็นแร่ธาติที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm

 


รู้จักกับ โสม ยอดฮิต! สารพัดประโยชน์ของราชาสมุนไพร

เชื่อว่าหลายๆคนคงรู้จัก "โสม" ทั้งในแบบรับประทานและเป็นส่วนผสมสุดฮิตในสกินแคร์ ขึ้นชื่อเรื่องบำรุงกำลังและความอ่อนเยาว์ แต่วันนี้เราจะมาเจาะลึกข้อมูลเกี่ยวกับโสมที่คุณอาจยังไม่รู้

 

"โสม" รู้จักกันมาในนามของยาบำรุงกำลังที่ชาวจีนนิยมใช้มานานกว่าพันปี และยังคงฮอตติดลมบนมาจนถึงทุกวันนี้ โดยมีการใช้อย่างแพร่หลายในหลายๆประเทศ รวมถึงประเทศไทยเองก็มีขายกันจำนวนมาก หรือไม่พลาดที่จะซื้อเป็นของฝากเวลาไปประเทศที่มีโสมขึ้นชื่ออย่างเกาหลีใต้หรือประเทศจีน แต่จริงๆแล้ว โสมมีหลายชนิด โดยโสมชนิดที่มักขายกันทั่วไป คือ โสมเอเชีย (Panax Ginseng) หรือที่เรียกกันง่ายๆว่า "โสมตะวันออก" อย่างโสมจีน โสมเกาหลี แต่ยังมีโสมชนิดอื่นๆ อย่างโสมอเมริกัน (Panax quinquefolius) และโสมไซบีเรีย (Eleutherococcus senticosus) ซึ่งโสมทั้งสองชนิดนี้ไม่จัดเป็นโสมแท้ แต่ก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายไม่ต่างจากโสมตะวันออก

 

ประโยชน์ของโสม

✔ เพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกาย

✔ เพิ่มการตอบสนองต่ออินซูลิน

✔ เพิ่มการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน

✔ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

✔ ลดการอักเสบที่สร้างจากเม็ดเลือดขาว

✔ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด

✔ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต

✔ มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ

✔ ช่วยให้ร่างกายขับสารพิษต่างๆเร็วขึ้น

✔ บรรเทาอาการหวัด

✔ ช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเอสโทรเจน บรรเทาอาการไม่สบายในช่วงวัยทอง

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


กรดเกินจะหายไป ถ้า Say Goodbye พฤติกรรมเหล่านี้

ใครจะคิด ว่าการพฤติกรรมการกินของเราจะกระทบต่อสุขภาพร่างกายได้มากขนาดนี้😷

เพราะการทานอาหารตอนดึก⏰
ทานแล้วนอนเลย😴
ทานไม่เป็นเวลา🤢
ทานเยอะหรือเร็วเกินไป🍿🍗 🍦
และการไม่ทานผักผลไม้ 🤐

ล้วนทำให้กระเพาะหลั่งกรดออกมามากกว่าปกติ และหลั่งไม่เป็นเวลา พาลจะทำให้หูรูดกระเพาะเสื่อม ควบคุมกรดไม่ได้อีกต่อไป

 

อยากหายจากอาการกรดเกิน ต้องหลีกจากของแสลงเหล่านี้ให้ไกล😖

ทั้งของทอด ของมัน🍔🍟🍕
อาหารรสจัด ทั้งเผ็ด เค็ม เปรี้ยว/ของหมักดอง🌶🍜🍓
ผลไม้รสเปรี้ยวจัด เช่นสับปะรด ส้ม มะนาว🍍🍊🍋
อาหารที่ทำมาจากถั่ว 🌰🥜
เนื้อสัตว์สุกๆ ดิบๆ🥩🍣

อาหารจำพวกที่มีกรดเยอะ มันมาก หรือมีแก๊สเยอะ ย่อยยากกว่าอาหารทั่วไปทำให้กระเพาะต้องผลิตกรดออกมาใช้ในการย่อยมากขึ้น จนเกิดอาการกรดเกินในที่สุด

 

เมื่อเป็นเรื่องกรดเกิน หลายคนอาจมองข้ามสิ่งใกล้ตัวอย่างเครื่องดื่มที่เราดื่มอยู่ทุกวัน สั่งจนติดปากอยู่ทุกมื้อ รู้มั้ยว่าเครื่องดื่มแต่ละแก้ว ส่งผลเสียได้มากกว่าที่คิด🍻

เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์🍺🍷 🥃
เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน (ชา กาแฟ) ☕️🍶
น้ำอัดลม ที่มีทั้งแก๊ส และกาเฟอีน🥤
เครื่องดื่มชูกำลัง💪

จะไปกระตุ้นให้กระเพาะผลิตน้ำย่อยออกมามากขึ้น จนแสบท้องจากกรดกัดกระเพาะค่ะ

 

เมื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้แล้ว ก็อย่าลืมเสริมความแข็งแรงให้กระเพาะด้วยพฤติกรรมที่ดีอย่างการทานอาหารย่อยง่าย ทานผักผลไม้ที่มีเบตาแคโรทีนสูง เช่น แครอท🥕 ฟักทอง🎃 แคนตาลูป🍈

และอย่าลืม! พกยาลดกรด-เคลือบกระเพาะ ไว้ใกล้ๆ มือ สำหรับบรรเทาอาการ ให้คุณแฮปปี้ได้ทั้งวัน เพราะบอกลาอาการแสบท้อง จุกเสียด ปวดกระเพาะจากกรดเกินกันค่ะ

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm

 


หยุด! พฤติกรรมป้อนสารพิษเข้าสู่ร่างกาย โดยไม่รู้ตัว

 

ในปัจจุบันมีผู้ป่วยจากสารพิษจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่ได้รับสารพิษในปริมาณมากจพเกิดอาการเป็นพิษเฉียบพลัน เช่น

 


สารพิษจากบุหรี่

บุหรี่มีสารก่อมะเร็งที่สำคัญ เช่น นิโคติน แอลกอฮอล์ฟีนอล สารอัลดีไฮด์อะโรมาติก ไฮโรคาร์บอน สารหนู โดยนิโคตินจะกระจายไปตามอวัยวะต่างๆ และเป็นสารที่ทำให้เสพติด

 


สารพิษจากสุรา

แอลกอฮอล์ทำลายวิตามินบี 1,วิตามินบี 2 และขัดขวางการดูดซึมแคลเซียม รวมทั้งขัดขวางการสังเคราะห์ไกลโคเจน ทำให้มีการสร้างไขมันที่ตับมากขึ้นจนเกิดตับอักเสบ ตับแข็ง

 


โลหะหนัก

สารตะกั่วอาจปนเปื้อนในน้ำและอาหาร และอาจพบสารตะกั่วปนเปื้อนในภาชนะบรรจุอาหารที่ไม่ได้มาตราฐาน จนเกิดพิษต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm

 


4 ผลวิจัยและเหตุผลดีๆที่สัตว์เลี้ยงช่วยให้อายุยืน

4 ผลวิจัยและเหตุผลดีๆ ที่ "สัตว์เลี้ยงช่วยให้อายุยืน"

 

สัตว์เลี้ยงช่วยทำให้ใจเย็นขึ้น

การลูบตัวสุนัขหรือแมวช่วยลดความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจได้ และช่วยเพิ่มระดับสารเซโรโทนินและโดปามีนในสมอง ซึ่งเป็นสารธรรมชาติในสมองที่ทำให้รู้สึกมีความสุขและใจเย็น

สัตว์เลี้ยงช่วยเพิ่มภูมิต้านทานในร่างกาย

ช่วยป้องกันฮอร์โมนที่เกิดจากความเครียดไม่ให้ไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้มีผลเสียต่อร่างกายหลายรูปแบบ

 


สัตว์เลี้ยงช่วยให้อายุยืน

การเลี้ยงสุนัขจะช่วยให้ผู้ป่วยที่เคยหัวใจวายมีอายุยืน มีการศึกษาโดยให้ผู้ที่เคยหัวใจวายมาแล้ว 421 รายเลี้ยงสุนัข เมื่อผ่านไป 1 ปี ผู้ที่เลี้ยงสุนัขจะมีอายุยืนมากกว่าผู้ที่ไม่เลี้ยง


สัตว์เลี้ยงพาออกกำลังกาย

มีผลงานวิจัยหลายชิ้นระบุว่า ผู้ที่มีสัตว์เลี้ยงจะได้ออกกำลังกายมากกว่าคนทั่วไป เพราะผู้ที่เลี้ยงสุนัขและพาสุนัขออกไปเดินเล่นเป็นประจำ มีน้ำหนักน้อยกว่าผู้ที่ไม่มีสัตว์เลี้ยง หรือไมีแต่ไม่พาออกไปเดินเล่น ดังนั้น การพากันไปเดินเล่นออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ดีทั้งสำหรับเจ้าของและสัตว์เลี้ยงแน่นอน

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


รวม 4 วิธี เทคนิคพิชิตใจ ลูกกินยาก

 

ปัญหาลูกทานยาก ไม่เจริญอาหาร เป็นปัญหาหนักใจของคุณพ่อคุณแม่หลายท่าน วันนี้เรามีวิธีดีๆ ให้คุณพ่อคุณแม่ลองทำตาม ลองดูกันว่าจะพิชิตใจเหล่าตัวน้อยได้หรือไม่

 

1. ตรวจร่างกาย ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง

ประเมินภาวะโภชนาการของเด็ก ด้วยการสังเกตกราฟการเจริญเติบโต ด้วยการชั่งน้ำหนัก และวัดส่วนสูงเทียบกับเกณฑ์ปกติตามวัยของลูก และบันทึกชนิด ปริมาณของอาการที่ลูกกินเข้าไป รวมทั้งขนม และนมในแต่ละมื้อ และแต่ละวันด้วย
สูตรการคำนวณน้ำหนักตามอายุ (ใช้ได้ตั้งแต่อายุ 1-10 ขวบ) น้ำหนักเฉลี่ย = 8 + (2 x อายุเป็นปี)ช่วงน้ำหนักปกติ จะมากหรือน้อยกว่าน้ำหนักเฉลี่ยที่คำนวณได้ตามสูตรประมาณ 2 กิโลกรัม

 


2. ต้องแน่ใจว่าลูกจะหิวเมื่อถึงเวลากิน

คุณพ่อ หรือคุณแม่ต้องให้ลูกกินเป็นเวลา โดยกำหนดเวลารับประทานอาหารแต่ละมื้อให้ชัดเจน ถ้าลูกเกเรไม่ยอมกินภายใน 30 นาที 1 ชั่วโมง ให้เก็บรอในอีกมื้อถัดไป ถ้าในเด็กที่มีอาการขาดอาหาร หรือวิตามิน อาจให้วิตามินรวมสูตรสำหรับเด็กเบื่ออาหาร เพื่อกระตุ้นความอยากอาหารได้


3. อาหารต้องน่ากิน

การฝึกการกินของลูก ช่วงแรกเริ่มควรเตรียมแต่อาหารที่ลูกชอบ กินง่าย ตกแต่งให้น่ากิน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้อยากกินเอง เป้าหมายสำคัญคือ การสร้างวินัยในการกิน จนลูกปฏิบัติได้สม่ำเสมอ


4. ตักอาหารทีละน้อยๆ

คุณพ่อคุณแม่ควรตักอาหารครั้งละน้อยๆ ให้ลูกมีกำลังใจว่ากินได้หมด รวมทั้งควรให้ลูกตักด้วยตัวเอง ถ้าหมดแล้วจึงค่อยเติม เพื่อที่ลูกจะได้ไม่เคยชินกับการกินเหลือ หรือต้องถูกบังคับให้กินจนหมดจาน

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm

 


แคลเซียม ควรเริ่มกินตอนอายุเท่าไหร่ ?

จริงๆแล้วร่างกายของเราต้องการแคลเซียมในทุกๆช่วงวัย แต่เมื่ออายุเข้าช่วง 30 ปีไปแล้ว ร่างกายจะหยุดดูดซึมแคลเซียมไปเก็บสะสมไว้ในกระดูก

โดยในแต่ละวัย มีความต้องการแคลเซียม ดังนี้

  • อายุตั้งแต่ 1 ถึง 30 ปี ต้องการแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลกรัม เพราะร่างกายยังสามารถดูดซึมแคลเซียมและเก็บสะสมไว้ได้ดีอยู่
  • อายุ 30 ปีขึ้นไป ต้องการแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลิกรัม ร่างกายในวัยนี้หยุดเก็บแคลเซียมแล้ว ดังนั้น เราต้องเติมแคลเซียมให้กับร่างกายอยู่ตลอดห้ามขาด
  • อายุ 50 ปี (วัยทอง) ต้องการแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลิกรัม
  • อายุ 50 ปีขึ้นไปและคุณแม่ตั้งครรภ์ ต้องการแคลเซียมวันละ 1,200 มิลลิกรัม

ดังนั้น หากอาหารที่รับประทานอยู่เป็นประจำไม่มีปริมาณแคลเซียมมากพอ เมื่อเข้าสู่วัย 30 ปี ควรจะรับประทานแคลเซียมเสริมอย่างสม่ำเสมอ

 

 

หลายๆคนอาจจะรู้จัก “แคลเซียม” ในฐานะของส่วนประกอบสำคัญของกระดูกและฟันและจำเป็นต่อการคงสภาพปกติของกระดูกและฟัน แต่นอกจากจะเป็นสารที่จำเป็นต่อกระดูกและฟันแล้ว แคลเซียมยังมีประโยชน์อย่างมากต่อระบบอื่นๆในร่างกาย เช่น

  • มีส่วนช่วยในการแข็งตัวตามปกติของเลือด
  • มีส่วนช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานจากเมตาบอลิซึมตามปกติ
  • มีส่วนช่วยในการทำงานตามปกติของกล้ามเนื้อ
  • มีส่วนช่วยในการทำงานตามปกติของสารสื่อประสาท
  • มีส่วนช่วยในการทำงานตามปกติของเอนไซม์ในระบบย่อยอาหาร

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


โรคเบาหวาน อาการและวิธีลดความเสี่ยง

ผู้ป่วยเบาหวานจะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เรียกว่า Hyperglycemia ซึ่งในปี ค.ศ. 1922 นักวิทยาศาสตร์ชาวแคนาดา F.G Banting ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ ค้นพบ ฮอร์โมน "อินซูลิน" ที่สร้างขึ้นมาจากเบต้าเซลล์ในตับอ่อน เป็นฮอร์โมนที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ให้เหมาะสม

อาการของโรคเบาหวาน

น้ำตาลในเลือดสูง

แต่ร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ ซึ่งจะสามารถรู้ได้จากการตรวจสุขภาพโดยแพทย์ ดังนั้น ทุกคนไม่ควรมองข้ามการไปตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อตรวจหาความผิดปกติภายของร่างกาย จะได้ทำการรักษาทันท่วงที

 

หิวน้ำบ่อย เหนื่อยง่าย

หากร่างกายขาดน้ำตาลมากกว่าจะมีการสลายไขมันในส่วนต่างๆของร่างกายมากขึ้น  เมื่อมีการสลายไขมันมากขึ้นทำให้ของเสีย เช่น สารคีโตรมากจนเป็นพิษต่อร่างกาย ทำให้อ่อนเพลีย เหนื่อยหอบ หิวน้ำบ่อย

 

ปัสสาวะบ่อยและมาก

เนื่องจากน้ำตาลที่ออกมาจากทางไตจะดึงเอาน้ำออกมาด้วย จึงทำให้มีปัสสาวะมากกว่าปกติ เมื่อปัสสาวะมากก็จะทำให้รู้สึกกระหายน้ำ ต้องคอยดื่มน้ำบ่อยๆ  และเมื่อมีน้ำตาลในเลือดมากกว่า 180 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร แล้วร่างกายจะดูดซึมกลูโคสกลับไม่หมด จึงมีน้ำตาลถูกร่างกายขจัดออกไปกับปัสสาวะทำให้ปัสสาวะมีรสหวาน

 

ดูแลสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน

จำกัดอาหารและเครื่องดื่มที่มีรสหวาน น้ำตาลสูง

อาจเลือกใช้น้ำตาลเทียมที่ให้ความหวานแต่พลังงานน้อยกว่า จึงไม่ทำให้อ้วน

 

รักษารูปร่างไม่ให้อ้วน

จัดตารางออกกำลังกายเพื่อการออกกำลังที่เหมาะสมและสม่ำเสมอ

 

รับประทานอาหารถูกหลัก

หัวใจสำคัญคือการรับประทานอาหารที่ได้สัดส่วน มีวิตามิน เกลือแร่ เส้นใยอาหาร เพื่อให้กระบวนการเผาผลาญพลังงานเป็นไปตามปกติ และรับประทานอาหารเป็นเวลา เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือด

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


วิตามินอี กับ 5 ประโยชน์ที่มีดีมากกว่าบำรุงผิวชุ่มชื้น

หลายคนคงรู้จักกับ วิตามินอี (Vitamin E) ในรูปแบบทั้งการรับประทานและการทาบำรุงผิว เพราะมีชื่อเสียงในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง ซึ่งเป็นพื้นฐานของผิวสวยสุขภาพดี แต่จริงๆแล้ววิตามินอียังไม่ประโยชน์ต่อร่างกายในอีกหลายๆส่วน

 

วิตามินอี ช่วยต้านอนุมูลอิสระ

 

ทำให้ผิวชุ่มชื้น ลดรอยแผล

 

บำรุงประสาทและกล้ามเนื้อ

 

ช่วยในการไหลเวียนของเลือด และป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


ปวดขาแบบนี้ ! เช็คให้ดีต้องประคบร้อนหรือเย็น

 

 

ประคบร้อน

ปวดกล้ามเนื้อ เส้นตึง หรือปวดแบบเรื้อรัง
ประคบร้อน ครั้งละ 15-20 นาที หรือใช้ยานวดคลายกล้ามเนื้อสูตรร้อน
ความร้อนจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการเส้นตึง และทำให้หลอดเลือดขยายตัว เลือดจึงไหลเวียนได้ดีขึ้น อาการบวมลดลง ควรประคบร้อนไม่เกิน 45 องศา ครั้งละไม่เกิน 15-20 นาที หรือใช้ยานวดสูตรร้อนแทนเพื่อหลีกเลี่ยงอาการแสบผิวค่ะ

 

ประคบเย็น

ปวดจากอาการบาดเจ็บ มีเลือดออกจากภายใน
ประคบเย็น ใน 2 วันแรกของการบาดเจ็บ วันละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 20-30 นาที
ความเย็นจะทำให้เส้นเลือดหดตัว และทำให้เลือดไหลเวียนช้าลง จึงช่วยห้ามเลือด ลดอาการบวม บรรเทาปวดและอักเสบแบบเฉียบพลัน

ประคบเย็น สลับ ประคบร้อน

ปวดจากเส้นพลิก ข้อแพลง
ให้ประคบเย็น เพื่อลดบวม เมื่อหายบวมแล้วจึงจะสามารถประคบร้อนสลับเย็นได้ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด และผ่อนคลายกล้ามเนื้อค่ะ

 

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


รู้ทัน... อาการเจ็บคอ (Sore Throat) ก่อนรักษาให้ตรงจุด

เจ็บคอ (Sore Throat)

 

อากาศเริ่มหนาว ฝุ่น PM 2.5 ก็เยอะ!! อาการที่หลายคนเป็นคือ อาการระคายเคืองคอ ไอ เจ็บคอ และจะเป็นมากขึ้นเวลากลืน เนื่องจากมีการอักเสบของเนื้อเยื่อในลำคอ

 

อาการ จะแตกต่างในแต่ละคนขึ้นอยู่กับสาเหตุ ได้แก่

เจ็บ แสบ หรือระคายเคืองคอ

กลืนลำบาก คอแห้ง เสียงเปลี่ยน อาจมีอาการปวดร้าวไปหู

เยื่อบุในลำคอมีสีแดง ต่อมทอลซิลบวม โต และแดง

 

สาเหตุของอาการเจ็บคอ  เกิดจาก 2 สาเหตุหลัก ด้วยกันคือ

1 การติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น เชื้อไวรัส แบคทีเรีย

ซึ่ง 75-80% เกิดจากเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ และไม่จำเป็นต้องกินยาปฎิชีวนะ

ส่วน 20-25% เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งการรักษาจำเป็นต้องกินยาปฎิชีวนะ

2 ไม่ติดเชื้อ เช่น โรคกรดไหลย้อนขึ้นมาที่คอ , กล่องเสียง

ใช้เสียงมากเกินไป

โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ และชนิดไม่แพ้

สายเสียงอักเสบเรื้อรัง

สัมผัสกับสิ่งที่ทำให้ระคายเคือง เช่น ฝุ่น บุหรี่ สารเคมี เครื่องดื่มแอลกอฮอร์ การคาท่อหายใจ เยื่อบุคออักเสบจากการฉายแสง

 

จะรู้ได้อย่างไรว่าอาการเจ็บคอเกิดจากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ??

 

อาการที่เกิดจากเชื้อไวรัส

มีหรือไม่มีไข้ เจ็บคอไม่มาก

มีน้ำมูก ไอ จามบ่อย เสียงแหบ

บริเวณผนังคอหอยอาจแดงเล็กน้อย

ส่องคอไม่พบตุ่มหนองหรือจุดเลือดออก

การรักษา ไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ

 

อาการเจ็บคอที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย

ส่วนใหญ่มีไข้สูง>35 องศาเซลเซียส ร่วมกับไม่ไอ

กลืนน้ำลายแล้วเจ็บคอมาก

ต่อมน้ำเหลืองใต้คออักเสบ บวมโต

ส่องคอแล้วพบจุดหนองหรือจุดเลือดออก หรือมีเสมหะเขียวเหลือง ลิ้นมีฝ้า

การรักษา ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ

 

การักษาอาการเจ็บคอ

การติดเชื้อไวรัส จะรักษาตามอาการ ไม่ต้องกินยาปฏิชีวนะเช่น

ให้ยาบรรเทาอาการเจ็บคอ เช่น ยาอม ยากลั้วคอ ยาพ่นคอ จิบยาน้ำ  ยาเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และลดอาการระคายคอ

ยาบรรเทาอาการปวดหรือเจ็บคอหรือลดไข้ เช่น paracetamol, NSAIDs

ยาลดน้ำมูกหรือแก้แพ้ เช่น antihistamine

ส่วนการติดเชื้อแบคทีเรีย  ต้องให้ยาต้านจุลชีพ 7-10 วัน

 

การปฎิบัติตัวของผู้ป่วย เมื่อมีอาการเจ็บคอ

  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  • รับประทานอาหารอ่อนๆเช่น โจ๊ก ข้าวต้ม หลีกเลี่ยงอาหารเย็นๆ เช่น ไอศกรีม น้ำแข็ง
  • ดื่มน้ำอุ่น จะช่วยลดการระคายเคือง และทำให้รู้สึกสบายคอ ช่วยดการอักเสบลงได้
  • กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ โดยผสมเกลือป่น 1 ช้อนชาในน้ำอุ่น 1 แก้ว วันละ 2-3 ครั้ง
  • หลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด รสจัด อาหารทอด
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอร์
  • หลีกเลี่ยงการใช้เสียงชั่วคราว
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสอากาศเย็นๆ
  • ฉีดพ่นด้วยสเปรย์จากสารสกัดจากธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการไอ ระคายเคืองคอ ลดการอักเสบ ระงับกลิ่นปาก ลมหายใจเย็น สดชื่น และพกพาสะดวก

 

สารสกัดจากธรรมชาติ ที่ช่วยบรรเทาอาการไอ เจ็บคอ


สารสกัดจากดอกคาร์โมมายล์ ช่วยลดการอักเสบ และช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ช่วยลดอาการระคายเคืองใน ช่องปาก ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ช่วยให้ชุ่มคอ

สารสกัดอิชินาเซีย กระตุ้นภูมิคุ้มกัน บรรเทาหวัด

Peppermint Oil ให้ความเย็นซ่า ให้กลิ่นหอมสดชื่น สะอาด จึงช่วยระงับกลิ่นปากได้ดี นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และไวรัสในลำคอ และทำให้รู้สึกชา (มีผลช่วยลดความรู้สึกเจ็บคอ)

Bergamot Oil ให้ความรู้สึกสดชื่น หอมหวาน และรู้สึกสงบและสดชื่น

Menthol ฆ่าเชื้อและลดอาการอักเสบในช่องปาก ทำให้รู้สึกเย็นสดชื่น

Methyl salicylate ลดอาการไอ ลดการอักเสบ

Clove Oil บรรเทาอาการไอ เจ็บคอ ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียระงับกลิ่นปาก

Sage oil ช่วยเพิ่มสมาธิ ผ่อนคลายความวิตกกังวล แก้เจ็บคอ กล่องเสียงอักเสบ ไซนัสอักเสบ

Eucalyptol oil ช่วยบรรเทาอาการไอ ช่วยแก้อาการเจ็บคอมีสารต้านแบคทีเรีย ช่วยให้ลมหายใจสดชื่น

Pine oil คุณสมบัติฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อโรค แก้ปวด ดับกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ แก้ไอ ขับเสมหะ ช่วยขยายหลอดลม

Anise Oil มีคุณสมบัติยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ สาเหตุของกลิ่นปาก

 

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


ไอโอดีน (Iodine) จำเป็นต่อร่างกายอย่างไร ?

ไอโอดีน (Iodine)

เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย แม้ว่าร่างกายจะต้องการไอโอดีนในปริมาณเพียงเล็กน้อยแต่ก็มีความจำเป็นมากจนขาดไม่ได้ โดยเมื่อไอโอดีนเข้าสู่ร่างกายแล้วขะจับกับกรดอะมิโนไทโรซีน (Tyrosine) แล้วสร้างเป็นฮอร์โมนที่มีชื่อว่า "ไทรอกซิน" (Thyroxine) หรือไทรอยด์ฮอร์โมนที่ฟอลิเคิลเซลล์ในต่อมไทรอยด์ที่อยู่บริเวณคอ

ประโยชน์ของไอโอดีน

✔ จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการทางสมอง ความจำ และการทำงานของร่างกาย

✔ ช่วยควบคุมการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ซึ่งมีผลต่อการใช้พลังงาน และอุณหภูมิในร่างกาย

✔ ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส

✔ ช่วยเสริมการเจริญเติบโตของร่างกายและสมองของทารกในครรภ์

✔ ลดโอกาสการเกิดโรคคอพอก

แหล่งของไอโอดีน

✔ อาหารทะเลทุกชนิด (พบมากที่สุดในสาหร่ายทะเล)

✔ พืชที่ขึ้นบนดินที่มีไอโอดีนสูง เช่น ชา

✔ นอกจากนี้ ปัจจุบันยังมีการเพิ่มสารไอโอดีนลงในไข่ไก่ เกลือ น้ำปลา และเครื่องปรุงรสที่ใช้เกลือเป็นส่วนประกอบอีกด้วย

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


6 สาเหตุ ร่างกายเสื่อมก่อนวัยที่ไม่ควรมองข้าม

 

ไม่อยาก ร่างกายเสื่อม ก่อนวัย ต้องอ่าน !!

เป็นเรื่องปกติที่ร่างกายของเราจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือความเสื่อมที่เพิ่มมากขึ้นไปตามอายุ แต่คงไม่มีใครอยากปล่อยให้ร่างกายโทรมหรือเสื่อมก่อนวัยแน่นอน วันนี้เลยมี 6 สาเหตุที่ทำให้ ร่างกายเสื่อม ก่อนวัยมาฝากให้ทุกคนเช็คกันดีๆว่า คุณกำลังใช้ชีวิตไปกับปัจจัยที่ทำให้ร่างกายเสื่อมก่อนวัยเหล่านี้นี้หรือไม่ ?

 

ป้อนสารพิษสู่ร่างกายโดยไม่รู็ตัว!!

รอบๆตัวเราเต็มไปด้วยสารพิษที่แฝงอยู่มากมาย ทั้งอากาศ ข้าวของเครื่องใช้ พฤติกรรมที่ทำเป็นประจำ หรือแม้แต่น้ำดื่มที่เราดื่มเป็นประจำ มาดูกันว่าควรระวังอะไรกันบ้าง

สารพิษจากบุหรี่

ทุกคนคงรู้กันดีอยู่แล้วว่าบุหรี่มีสารก่อมะเร็ง แต่วันนี้เราจะมาเจาะลึกกันว่าสารก่อมะเร็งนั้นคืออะไร และมีโทษต่อร่างกยอย่างไรกันบ้าง ซึ่งสารเหล่านั้น ได้แก่ นิโคติน แอลกอฮอล์ฟีนอล สารแอลดีไฮด์อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน น้ำมันดิน คาร์บอนมอนอกไซด์ สารหนู ไอโดรเจนไซนาไนต์ ไนโตรเจนออกไซด์ ฟอร์มาลดีไฮด์ เบนซิน แคดเมียมโทลูอีน เบนโซไพรีน และยังมีสารกัมมันตรังสี เช่น สารโพโลเนียมอีกด้วย สารเหล่านี้เป็นสารอันตรายที่มีส่วนกระตุ้นทำให้เกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะตัวร้ายอย่างน้ำมันดิน เป็นสารที่รุนแรง เป็นสาเหตุของมะเร็งในช่องปาก และโรคเยื่อบุช่องปาก รวมทั้งทำให้ริมฝีปากดำอีกด้วย

อีกหนึ่งสารที่รู้จักกันดี คือ "นิโคติน" เป็นสารที่ทำให้เกิดการเสพติด และไปกระตุ้นเนื้อเยื่อสร้างสาร Catechuphenolamine ทำให้หลอดเลือดแข็งตัว หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูงขึ้น ระดับไขมันในเลือดสูงขึ้น และกล้ามเนื้อหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ นอกจากนี้ การสูบบุหรี่ยังทำให้เกิดสาร "คาร์บอนมอนอกไซด์" ซึ่งจะไปแย่งจับกับฮีโมโกบินแข่งกับออกซิเจน และจับได้ดีและเร็วกว่าด้วย ส่งผลให้เซลล์ในร่างกายได้รับออกซิเจนน้องลงจนเกิดความเสื่อมของเซลล์

นอกจากการเสื่อมภายในร่างกายแล้ว การสูบบุหรี่ยังทำให้กรดต่างๆในบุหรี่ เช่น ฟีนอล กัดกร่อนช่องปาก ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพช่องปาก และอาจกัดไปถึงอวันวะภายใน เช่น ปอด ทำลายขนเล็กๆที่บุผิว เยื่อบุทางเดินหายใจที่คอยดักจับฝุ่นละอองและเชื้อโรค และยังเพิ่มกรดในกระเพาะอาหาร เพิ่มความเสี่ยงที่ทำให้กระเพาะเป็นแผล

สารพิษจากสุรา

การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณน้อยจะกระตุ้นระบบประสาท ทำให้หลอดเลือดขยายตัว หายใจแรงขึ้น อาจทำให้เสียการทรงตัวและประสาททำงานช้าลง นอกจากนี้การดื่มแอลกอฮอล์ยังเข้าไปทำลายวิตามินบี1 วิตามินบี2 และขัดขวางการดูดซึมกรดโฟลิกและแคลเซียมอีกด้วย

โลหะหนัก

โลหะหนักอย่าง ปรอท ตะกั่ว ดีบุก อลูมิเนียม อาจมีการสะสมในร่างกายจนเกิดการทำลายเซลล์ไปจนถึงอวัยวะ และรบกวนการทำงานของร่างกายจนเกิดความเสื่อมอย่างช้าๆ โดยโลหะหนักเหล่านี้อาจมีการปนเปื้อนมากับยา น้ำหรืออาหารที่คนอาจมองข้าม เช่น อาหารประเภทปลา อาจมีสารปรอทปนเปื้อน หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารพวกน้ำมันปลา ก่อนรับประทานจึงต้องมั่นใจว่ามาจากแหล่งที่ปลอดภัย ปราศจากสารปนเปื้อน อย่างผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ไมันปลา ควรเลือกที่ผ่านการรับรองแล้วว่าผ่านมาตรฐานการตรวจสอบปรอทและตะกั่วแล้ว

 

ความเครียด พักผ่อนน้อย

การพักผ่อน เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญในการฟื้นฟูร่างกาย ซึ่งการพักผ่อนที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ ไม่ใช่การพักผ่อนด้วยการนอนเล่นสมาร์ทโฟนหรือดูโทรทัศน์ แต่เป็นการพักผ่อนโดยการ "นอนหลับ" นั่นเอง เพราะการนอนอย่างเพียงพอ และนอนในเวลาที่เหมาะสมจะช่วยให้ร่างกายได้ฟื้นฟูและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้เป็นอย่างดี ในทางตรงกันข้าม การนอนน้อยหรือพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้ ร่างกายเสื่อม ได้อย่างรวดเร็ว

 

ไม่ควบคุมน้ำหนัก

เช็คกันก่อนว่า ตอนนี้ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ของคุณอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่ ?

BMI (Body Mass Index) เป็นดัชนีชี้ค่าความอ้วนสำหรับคนอายุ 20 ปีขึ้นไป โดยสามารถคำนวณได้จากสูตรดังนี้

BMI = น้ำหนัก (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เมตร) ได้ผลลัพธ์ออกมาเท่าไหร่ สามารถนำมาแปรผลได้ดังนี้

  • BMI ต่ำกว่า 19 หมายความว่า รูปร่างผอม
  • BMI 20-24.9 หมายความว่า รูปร่างพิดี สมส่วน
  • BMI 25-29.9 หมายความว่า อ้วน น้ำหนักเกินมาตรฐาน
  • BMI 30 ขึ้นไป หมายความว่า อ้วนถึงขนาดเข้าข่ายการเป็นโรคอ้วน

ดังนั้น การควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสม ไม่ได้หมายถึงการหลีกเลี่ยง "ความอ้วน" เพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงการมีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ไม่ผอมจนเกินไปด้วยเช่นกัน

 

ทานอาหารไม่เหมาะสม

รู้กันดีอยู่แล้วว่าการรับประทานอาหารไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดโรคอ้วนและ ร่างกายเสื่อม แต่อย่าลืมว่าการรับประทานน้อยเกินไปก็อาจทำให้ร่างกายผอมเกินไป และส่งผลเสียต่อร่างกายได้เช่นกัน ดังนั้น การเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสมเป็นปัจจัยที่สำคัญในการมีสุขภาพที่ดี

โรคอ้วนมักเกิดจากการรับประทานอาหารพวกนมเนย อาหารไขมันสูง อาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงมากเกินไป ดังนั้น ถ้าไม่อยาก ร่างกายเสื่อม ก่อนวัย ควรหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้ หรือรับประทานแต่น้อย และควรเลือกรับประทานที่มีไขมันต่ำ และหลีกเลี่ยงอาหารพวกทอด ผัด แกงกะทิ และหันมาใช้วิธีประกอบอาหารที่ปราศจากน้ำมันแทน เช่น อบ นึ่ง เผา เพื่อลดการสะสมของไขมันเลว (LDL-cholesterol) ในร่างกาย นอกจากนี้ ควรควบคุมปริมาณอาหารที่รับประทานในแต่ละวันให้เหมาะสม เพราะสาเหตุของความอ้วนมักเกิดจากการรับประทานอาหารมากเกินไป ทำให้พลังงานที่ได้จากอาหารมีมากเกินความต้องการใช้ จนเกิดเป็นไขมันสะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย

 

ไม่ออกกำลังกาย

การไม่ออกกำลังกาย นอกจากจะมีผลต่อรูปร่างที่ขาดความเฟิร์มกระชับที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว ยังส่งผลต่อความแข็งแรงของร่างกายภายใน เช่น การทำงานของหัวใจและกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง และยังส่งผลต่อการเพิ่มโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกพรุนอีกด้วย

ดังนั้น ไม่ว่าค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ของคุณจะอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่ การออกกำลังกายยังเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพของทุกคนเสมอ ดังนั้น ควรจัดเวลาเพื่อออกกำลังโดยเฉพาะ เพื่อให้มั่นใจว่าร่างกายของคุณจะได้ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมอยู่เสมอ ซึ่งการออกกำลังกายนั้นมีหลายแบบให้เลือก ตามความชอบและความเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน โดยการออกกำลังกายสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลักๆ ได้แก่

  1. การออกกำลังกายหัวใจ (Cardio Exercise) เพื่อความแข็งแรงของระบบหัวใจ และหลอดเลือด เช่น การวิ่ง
  2. ออกกำลังกายเวทเทรนนิ่ง (Weight Training) เพิ่มความแข็งแรง และความทนทานของกล้ามเนื้อ เช่น การยกเวท
  3. ออกกำลังกายยืดเส้นเอ็น (Stretching) เพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ เช่น การเล่นโยคะ

 

มองข้ามการไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย

แม้ว่าคุณจะมั่นใจว่าใช้ชีวิตอย่างดี และมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงแล้ว แต่นั่นเป็นเพียงการสังเกตุได้จากภายนอกเท่านั้น เพราะเราไม่สามารถรู้ระบบการทำงานภายในร่างกายได้ว่ามีประสิทธิภาพอย่างไร ดังนั้น จึงควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพประจำปี อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อตรวจให้มั่นใจว่าระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆภายในร่างกายยังสามารถทำงานได้เป็นอย่างดี และเป็นสิ่งที่ไม่ควรนิ่งนอนใจหรือมองข้าม

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


ผัก ผลไม้ 5 สี ดีต่อสุขภาพยังไงบ้าง ??

ผัก ผลไม้ 5 สี

ดีต่อสุขภาพยังไง ??

 

สีแดง

สารที่พบในอาหารสีแดงหรือสีชมพู

  • ไลโคปีน (Lycopene) เป็นสารกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่ให้สีแดงแก่มะเขือเทศ แตงโม ส้มโอแดง มะละกอ ดอกกระเจี๊ยบ สตรอเบอร์รี่ เชอร์รี่ เมล็ดทับทิม  หัวบีท ผลแก้วมังกร รวมถึงเนื้อสัตว์บางชนิด เช่น ปลาแซลมอน กุ้ง ปู
  • บีทาเลน (Betalain) คือ สารสีแดงและสีม่วงในหัวบีท ผลแก้วมังกร มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ

 

สีเหลืองและสีส้ม

สารที่พบในอาหารสีเหลืองและสีส้ม

  • เบต้าแคโรทีน (Beta carotene) เป็นเม็ดสีเหลือง สีแสดที่พบในพืชหลายชนิด เช่น แครอท มะละกอ มะกอก ลูกพลับ เป็นสารที่มีศักยภาพสูงในการต่อต้านอนุมูลอิสระ และเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ ซึ่งมีประโยชน์ต่อการมองเห็นและยังช่วยให้ผิวพรรณสดใสอีกด้วย
  • ฟลาโวนอยด์ พบในเปลือกส้มและเยื่อส้ม หรือที่เรียกว่า "Citrus bioflavonoid" ออกฤทธิ์เสริมความแข็งแรงของหลอดเลือดฝอย
  • มอริน (Morin) เป็นฟลาโวนอยด์ที่พบในขนุน มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ ต้ายไวรัสเริม (HSV-2) และลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง
  • เอนไซม์โปรตีนโบรมีเลน (Bromelain) พบในสับปะรด เป็นเอนไซม์ย่อยโปรตีนที่ได้จากเนื้อและแกนของผลสับปะรด มีฤทธิ์ต้านการรวมตัวกันของเกล็ดเลือด ต้านการอักเสบ
  • ลูทีน (Lutein) เป็นสารสีเหลืองที่ให้สีสันแก่พืช และยังมีประโยชน์ในการช่วยบำรุงสายตา ป้องกันความเสื่อมของ Macula ในดวงตา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งทีทำให้คนแก่ชราตาบอด

 

สีเขียว

สารที่พบในอาหารสีเขียว

  • คลอโรฟีลล์ เป็นสารที่ทำให้พืชมีสีเขียว ยิ่งมีสีเขียวเข้มมากแสดงว่ามีปริมาณคลอโรฟิลล์มาก เช่น ตำลึง คะน้า บร็อกโคลี่ ชะพลู ใบบัวบก ชะอม ผักบุ้ง ผักโขม ผลอะโวคาโด ขึ้นถ่าย แตงกวา ซึ่งเมื่อสารคลอโรฟิลล์ถูกย่อยในร่างกายแล้ว จะสามารถช่วยลดโอการสเสี่ยงในการเกิดมะเร็งได้
  • ลูทีน (Lutein) เป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ พบในผักใบเขียใเข้ม เช่น ผักคะน้า ผักบุ้ง ผักโขม ผลอะโวคาโด ซึ่งมีประโยชน์ต่อดวงตา สามารถช่วยกรองแสงสำน้ำเงินที่มีพลังงานสูงได้
  • อินโดล-3-คาร์บินอล (I3C) พบในบร็อคโคลี่ กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ มีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งได้ และช่วยกำจัดสารพิษในร่างกายได้ดี
  • ซัลโฟราเฟน (Sulforaphane) เป็นสารไทโอไซยาเนต พบในพืชวงศ์กะหล่ำปลีและพบมากในบร็อกโคลี่ มีฤืทธิ์กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ ขับสารพิษจากตับ

 

สีม่วงและสีน้ำเงิน

สารที่พบในอาหารสีม่วงและสีน้ำเงิน

  • แอนโทไซยานิน สีม่วงจากพืชตระกูลเบอร์รี่ สามารถช่วยเสริมประสิทธิภาพในการมองเห็น และลดปัญหาที่เกิดจากระบบหมุนเวียนโลหิตได้

 

สีขาว

สารที่พบในอาหารสีขาว

  • อัลลิซิน (Allicin) เป็นสารให้กลิ่นในกระเทียม ซึ่งกระเทียมมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ ฆ่าเชื้อรา ป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ต้านการแข็งตัวของเลือด
  • เควอร์ซิทิน (Quercetin) เป็นสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ พบมากในหอมหัวใหญ่ ผลแอปเปิ้ล ต้นกระทเียม ผลฝรั่ง และชาขาว มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอการแข็งตัวและอุดตันของหลอดเลือด
  • ไอโซฟลาโวน (Isoflavone) พบในถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง มีฤทธิ์เป็นเอสโตรเจนอย่างอ่อน หรือที่เรียกว่า ไฟโตเอสโตรเจน
  • แซนโทน (Xanthone) พบในเนื้อสีขาวแะเปลือกมังคุด มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ลดอาการปวดข้อเข่า ต้านจุลชีพหลายชนิด เช่น เชื้อวัณโรค และรักษาระบบภูมิตุ้มกันให้อยู่ในสภาพที่ดี
  • เพกทิน เป็นเส้นใยละลายน้ำได้ พบในแอปเปิ้ล ฝรั่ง แก้วมังกร มีความสามารถในการจับกับน้ำตาลและปล่อยโมเลกุลน้ำตาลสู่กระแสเลือดอย่างช้าๆ ทำให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดค่อนข้างคงที่ จึงลดความอยากอาหาร ทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


รู้จักกับ "วิตามินดี" แล้วจะรู้ว่ามีดีกว่าที่คิด !!

วิตามินดี (Vitamin D)

วิตามินดี (Cholecalcifero) เป็นที่รู้จักกันดีในนามของ "วิตามินแดด"  หลายๆคนอาจมองข้ามการเสริมวิตามินดี แต่จริงๆแล้ววิตามินดีเป็นวิตามินที่สามารถช่วยเสริมประสิทธิภาพการดูดซึมและการทำงานของวิตามินและแร่ธาตุอีกหลายชนิด เช่น แคลเซียม วิตามินเอ วิตามินซี ดังนั้น วิตามินดีเป็นอีกหนึ่งวิตามินที่สายเฮลท์ตี้ตัวจริงไม่ควรพลาด !

หน้าที่ของวิตามินดี

วิตามินดี เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับ Metabolism ของแคลเซียม และฟอสฟอรัล โดยการดูดซึมเข้ามาสะสมในร่างกาย เพื่อใช้สำหรับเสริมสร้างกระดูก กระดูกอ่อน ฟัน และเล็บ ดังนั้น การรับประทานวิตามินดีร่วมกับแคลเซียมเป็นประจำ จะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมได้ดียิ่งขึ้น

แหล่งของวิตามินดี

  • ร่างกายได้รับวิตามินดีจากอาหาร เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาเฮร์ริง ปลาแซลมอน ปลาทูน่า นม และผลิตภัณฑ์จากนม ซึ่งวิตามินดีที่เรารับประทานเข้าไปจะถูกดูดซึมพร้อมไขมันผ่านางผนังลำไส้
  • นอกจากนี้ร่างกายยังสามารถได้รับ วิตามินดี จากแสงแดด จึงเป็นที่มาของชื่อ "วิตามินแดด" โดยรังสียูวีจากแสงแดดจะทำปฏิกิริยากับน้ำมันที่ผิวหนัง ก่อให้เกิดการสร้างวิตามินและจะถูกดูดซึมกลับเข้าสู่ร่างกาย

 

เราต้องการวิตามินดีวันละเท่าไหร่ ?

โดยเฉลี่ยแล้วในทุกช่วงอายุ ร่างกายจะต้องการวิตามินดีวันละประมาณ 200-400 IU

 

วิตามินดี มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร ?

  • ส่งเสริมการใช้แคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งจำเป็นต่อความแข็งแรงของกระดูกและฟัน
  • หากรับประทานวิตามินดี ร่วมกับวิตามินเอและซี จะช่วยในการป้องกันโรคหวัดได้
  • ช่วยในการรักษาโรคเยื่อบุตาอักเสบ
  • ช่วยในการดูดซึมของวิตามินเอ

 

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าร่างกายขาดวิตามินดี ?

  • การขาดวิตามินดีในเด็ก อาจทำให้เกิดโรคกระดูกอ่อน (Riskets) โดยกระดูกขาจะโก่ง หรือหัวเข่าชนกัน กระดูกหน้าอกผิดรูป กระดูกข้อมือ ข้อเท้ามีขนาดใหญ่ผิดปกติ ขากรรไกรแคบ ทำให้ฟันเก บิดเบี้ยว หรือมีฟันผุขั้นรุนแรง
  • ส่วนในผู้ใหญ่ อาจทำให้กระดูกไม่แข็งแรงและหักง่าย รวมถึงมีภาวะกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm