สาระน่ารู้

มูฟง่ายๆ กับการออกกำลังกาย 3 แบบ ที่เหมาะกับคุณ

การออกกำลังกาย 3 แบบ

 

ออกกำลังกายหัวใจ

ออกกำลังกายหัวใจ (Cardio Exercise)

เพื่อความแข็งแรงของระบบหัวใจ และหลอดเลือด

 

ออกกำลังกาย เวทเทรนนิ่ง

ออกกำลังกายเวทเทรนนิ่ง (Weight Training)

เพิ่มความแข็งแรง และความทนทานของกล้ามเนื้อ

 

ออกกพลังกาย ยืดเส้นเอ็น

ออกกำลังกายยืดเส้นเอ็น (Stretching)

เพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


5 ปัจจัยทำให้ แคลเซียมเสื่อม ไม่รู้ตัว!!

ระวังแคลเซียมเสื่อมไว โดยไม่รู้ตัว !!

 

กาแฟยิ่งมาก แคลเซียม ยิ่งลด

สำหรับหลายๆคนแล้ว กาแฟคงเป็นเหมือนปัจจัยที่ 5 ที่ขาดไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าการดื่มกาแฟนอกจากจะได้สัมผัสกับกลิ่นหอมๆแล้วยังช่วยให้ร่างกายสดชื่นด้วยกาเฟอีนวันละนิด แต่ต้องย้ำว่า...วันละนิด!! เพราะการดื่มกาแฟดำวันละ 2 แก้วจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ในทางตรงกันข้าม การดื่มกาแฟมากจนได้รับสารกาเฟอีนในปริมาณมากนั้น จะทำให้ปัสสาวะบ่อย และการปัสสาวะบ่อยนี่เองจะทำให้แคลเซียมไหลออกไปกับสสาวะมาก ซึ่งเป็นการลดโอกาสที่กระดูกจะได้รับแคลเซียมไปเสริมความแข็งแรง ทำให้กระดูกไม่แข็งแรงในที่สุด

 

น้ำอัดลม มาพร้อมกับ ฟอสฟอรัส

รู้หรือไม่ว่า... ในน้ำอัดลมทุกชนิดมีฟอสฟอรัสจำนวนมาก โดยฟอสฟอรัสจะไปจับกับแคลเซียมกลายเป็นแคลเซียมฟอสเฟต แต่ปริมาณฟอสฟอรัสที่มากเกินไปจะทำให้การดูดซึมเป็นไปได้ยาก สุดท้ายก็จะถูกขับออกมาจากร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายไม่ได้รับแคลเซียม ดังนั้น คนที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำมักจะมีภาวะขาดแคลเซียมโดยไม่รู้ตัว มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคกระดูกพรุนได้มากเลยทีเดียว

 

นิโคติน ตัวร้าย ในบุหรี่

เป็นที่รู้กันดีว่า นิโคตินเป็นสารในบุหรี่ที่ไม่ดีต่อร่างกาย แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าไม่ดีต่อร่างกายยังไงบ้าง ซึ่งสิ่งที่หลายคนมองข้ามก็คือ ผลเสียต่อกระดูกที่จะเกิดขึ้นจากสารนิโคติน โดยนิโคตินที่อยู่ในบุหรี่จะลดการสร้างกระดูกและลดการดูดซึมแคลเซียม ทำให้ผู้ที่สูบบุหรี่ติดต่อกันเป็นเวลานาน มีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน ส่งผลให้เกิดการเปราะหักของกระดูกได้ง่ายกว่าปกติ

ยาบางชนิดมีผลต่อต้านแคลเซียม

ในกรณีที่มีอาการป่วยเรื้อรังที่จำเป็นต้องกินยาบางชนิดเป็นประจำ จำเป็นต้องศึกษาว่ายาชนิดนั้นๆแต่ละตัวมีผลข้างเคียงระยะยาวต่อสุขภาพยังไงบ้าง หากพบว่ากำลังกินยาที่มีผลต่อต้านแคลเซียม ก็ควรหาทางทดแทนแคลเซียมให้ร่างกายได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอด้วย เพื่อลดโอกาสการเกิดโรคกระดูกพรุน

พรีฟอร์ม วิตามินเอ (Preformed Vitamin A)

หลายๆคนคงรู้จักกันดีในชื่อของ เรตินอล ซึ่งจริงๆแล้ววิตามินเอชริดนี้มีประโยชน์ แต่หากร่างกายได้รับในปริมาณมากเกินไปจะเป็นพิษต่อร่างกาย และส่งผลต่อกระดูกทำให้กระดูกไม่ดี ดังนั้น หากต้องการรับประทานวิตามินเอเพื่อบำรุงร่างกาย ควรเลือกกินวิตามินเอชนิดอื่นๆแทนได้ เช่น บีตา-แคโรทีน แอลฟา-แคโรทีน ที่สามารถช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงสายตา รวมทั้งช่วยบำรุงกระดูกได้อีกด้วย

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


ห้ามพลาด!! วิธีแก้เครียด ตามกรุ๊ปเลือด

ก่อนอื่นลองมาดูกันก่อนว่าแต่ละกรุ๊ปเลือดอาจจะมีนิสัยยังไงกันบ้าง ??

(ตรงไม่ตรงลองสำรวจตัวเองและคนรอบข้างดูได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีลักษณะนิสัยเหมือนกันซะทีเดียวนะคะ)

แต่ที่ใช้ได้ดีแน่ๆ คือ วิธีคลายเครียดดีๆที่เราจะนำมาฝากกันวันนี้ ช่วยคลายเครียดได้ดีแน่นอน

 

กรุ๊ป A ขี้อาย เครียดง่าย

คนเลือดกรุ๊ปนี้ค่อนข้างขี้อาย ไม่ชอบแสดงออก มีอะไรก็เก็บไว้ในใจ และร่างกายก็ยังผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลได้สูง เลยเครียดง่ายกว่าชาวบ้านกรุ๊ปอื่นเขา

 

กิจกรรมควรทำ

1.พยายามแสดงความรู้สึกออกมาผ่านทางการทำงานทางศิลปะ อย่างวาดรูป ร้องเพลง ประดิษฐ์ของเล็กๆน้อยๆ จะช่วยให้คุณผ่อนคลายมากขึ้น

2.ชาวกรุ๊ปเอแบกรับความเครียดไม่ค่อยไหว จึงต้องวางแผนงานในแต่ละวันไว้ล่วงหน้า ว่าเวลาไหนต้องทำอะไรบ้างแต่ละวันของคุณจะได้ผ่านไปอย่างสบายๆ

3.หาเวลาวันละครึ่งชม.นั่งสงบใจตัดความฟุ้งซ่านออกจากสมองเสียบ้าง

 

กรุ๊ป B ช่างฝัน อารมณ์โรมแมนติก

หมู่เลือดของคนช่างฝัน อารมณ์โรแมนติกรักสวยรักงามและเจ้าชู้นิดๆ แต่ไหวพริบเป็นเยี่ยม แต่บางทีก็เพ้อฝันมากไปจนทำตัวเองหดหู่ซึมเศร้าซะงั้น

 

กิจกรรมควรทำ

1.จุดอ่อนของคนกรุ๊ปนี้คือรักหน้าห่วงภาพพจน์มากไป จนนอยด์และเหนื่อยกับการรักษาภาพพจน์อยู่ตลอดเวลา ถ้าปล่อยวางตรงจุดนี้ได้ร่างกายและอารมณ์ของคุณจะดีขึ้นอีกมาก

2.ควรเล่นกีฬาที่ได้ฝึกสมาธิคู่กันไปด้วยเช่น เทนนิส ศิลปะการต่อสู้ กอล์ฟ

3.หาเวลานั่งสมาธิทุกวัน เพราะสาวกรุ๊ปบีเป็นเจ้าแห่งจินตนาการ จิตใจเลยฟุ้งกระจายจนหาความสงบสุขได้ยากมากถึงมากที่สุด

 

กรุ๊ป O มองโลกตามความเป็นจริง

ถ้าเป็นสาวๆ กรุ๊ปโอมีนิสัยคล้ายผู้ชาย คือไม่ค่อยเพ้อฝันมองโลกตามความเป็นจริง เลยไม่ค่อยผิดหวังกับอะไรง่ายๆยกเว้นเรื่องของความรัก สาวๆ ชาวโอรักใครแล้วรักจริง เมื่อไหร่คนรักทำให้ผิดหวังนางเลยจะเครียดจัด ชนิดไม่กินไม่นอนเป็นวันๆเลยทีเดียว

 

กิจกรรมควรทำ

1.ดูภาพยนตร์หรือละครตลกที่พาให้คุณหลุดไปจากโลกแห่งความเป็นจริงเพราะบางทีโลกในจินตนาการก็ช่วยให้เราแฮปปี้ง่ายกว่านะ

2.ปล่อยวางจากคนรักบ้างต้องทำใจว่าเราไปกะเกณฑ์ให้เขาเป็นอย่างใจเราไม่ได้หรอก

3.ออกกำลังกายอย่างหนัก เช่นวิ่ง ว่ายน้ำ ตีเทนนิสจะเหมาะกับนิสัยจริงจังของคุณ

 

กรุ๊ป AB ไม่ค่อยมีมนุษยสัมพันธ์

ชาว AB เป็นคนถือตัว ไม่ค่อยมีมนุษยสัมพันธ์ เข้าข่ายแม่เสือยิ้มยากแถมยังเจ้าระเบียบ หัวสูง ทะเยอทะยาน ฉลาดลึกซึ้ง มองคนเก่ง เป็นหมู่เลือดของคนที่มักจะประสบความสำเร็จ แต่ออกจะเหงาๆอยู่สักหน่อย เพราะเพื่อนไม่ค่อยคบ

 

กิจกรรมควรทำ

1.ยิ้มมากๆและพยายามหากิจกรรมที่ได้ทำร่วมกับเพื่อนๆเป็นกลุ่มใหญ่ จะได้ฝึกมนุษยสัมพันธ์ของตัวเองให้ดีขึ้น

2.อย่าเข้าไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่นเพราะเมื่อไรที่คุณลงมือทะเลาะกับใครคุณจะทุ่มเทอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ชนะไม่เลิก นอกจากจะสร้างศัตรูแล้ว ยังไดความเครียดมาเป็นของแถมอีกด้วย

3.เวลาว่างสาว AB ควรจะหากิจกรรมทำ โดยเฉพาะกิจกรรมด้านการกุศลอย่างบริจาคโลหิต รณรงค์เพื่อช่วยสัตว์พิการ ไปเลี้ยงเด็กกำพร้า เป็นต้น จะทำให้คุณอารมณ์ดีได้ เพราะคนกรุ๊ปนี้มีพื้นฐานจิตดีอยู่แล้ว เพียงแค่ถูกความเจ้าระเบียบทำให้นอยด์จัดจนลืมเกรงใจคนข้างบ้านเท่านั้นเอง

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


ไขมันดี VS ไขมันเลว เลือกกินยังไงให้สุขภาพดี ?

 

เรื่องที่คุณอาจยังไม่รู้ เกี่ยวกับ

"ไขมัน"

 

เชื่อว่าหลายๆคน แค่ได้ยินคำว่า "ไขมัน" ก็อยากจะหลีกเลี่ยงไปให้ไกลๆ แต่จริงๆแล้วไขมันมีอะไรมากกว่าแค่ทำให้ "อ้วน" เพราะจริงๆแล้วไขมันมีหน้าที่ต่างๆมากมายที่ช่วยในกลไกการทำงานของร่างกาย แน่นอนว่ามีทั้งประโยชน์และโทษ เพราะฉะนั้น วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจ "ไขมัน" กันใหม่ !!

คอเลสเตอรอล (Cholesterol) คืออะไร ??

คอเลสเตอรอล คือ อนุภาคไขมันซึ่งผลิตขึ้นที่ตับและนำส่งไปที่เซลล์ต่างๆ เป็นสาตั้งต้นในการสร้างฮอร์โมนเพศ และสร้างสารสเตอรอลที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังเพื่อเปลี่ยนเป็นวิตามินดีเมื่อผิวสัมผัสกับแสงแดด และยังทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบหนึ่งของผนังเซลล์

ใน 1 วัน ควรได้รับคอเลสเตอรอลเท่าไหร่ ?

ในหนึ่งวันเราควรได้รับคอเลสเตอรอลไม่เกิน 200-300 มิลลิกรัม เพราะถึงแม้ว่าคอเลสเตอรอลจะมีประโยชน์ต่อการทำงานของกลไกในร่างกายบางส่วน แต่การได้รับคอเลสเตอรอลในปริมาณที่มากเกินไปจะส่งผลเสียต่อร่างกายและควรระมัดระวังอย่างมาก ซึ่งการที่ร่างกายจะได้รับคอเลสเตอรอลเข้าไปนั้นก็มาจากการรับประทานอาหารต่างๆนั่นเอง ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องรู้ว่าอาหารอะไรให้ไขมันชนิดไหนกันบ้าง โดยคอเลสเตอรอลที่ควรรู้จักแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ

  1. ชนิดไขมันดี (High Density Lipoprotien) หรือ HDL
  2. ชนิดไขมันเลว (Low Density Lipoprotein) หรือ LDL

 

ไขมัน

ไขมันดี (High Density Lipoprotien) หรือ HDL 

เป็นไขมันที่เปรียบเสมือนพาหนะบรรทุกไลโปโปรตีน (Lipoprotein) ที่มีความหนาแน่นสูง โดยจะขนส่งไขมันในเลือดทั่วร่างกายไปทำลายที่ตับ ไขมัน HDL จึงเป็นไขมันชนิดที่ดีต่อร่างกาย ดังนั้น เมื่อร่างกายมีปริมาณไขมัน HDL สูง ก็จะเป็นผลดีต่อสุขภาพ ซึ่งโดยปกติแลวระดับไขมัน HDL ในผู้ชายจะมากกว่า 60 มิลลิกรัม/เดซิลิตร (หากน้อยกว่า 40 มิลลิกรัม/เดซิลิตรถือว่าอยู่ในภาวะเสี่ยง)  และผู้หญิงควรมีมากกว่า 60 มิลลิกรัม/เดซิลิตร (หากน้อยกว่า 50 มิลลิกรัม/เดซิลิตรถือว่าอยู่ในภาวะเสี่ยง)

 

ไขมันดี

อาหารแหล่งไขมันดี (HDL)

✔ น้ำมันมะกอก

✔ ถั่วและพืชมีฝัก

✔ โฮลเกรน (ธัญพืชไม่ขัดสี) ข้าวกล้อง

✔ ผลไม้ไฟเบอร์สูง เช่น พรุน แอปเปิล ลูกแพร์

✔ ปลาแซลมอน ปลาแมกเคอเรล ปลาซาร์ดีน ปลาเทราต์สายรุ้ง ปลาทูน่าชนิดอัลบอคอร์

✔ เมล็ดแฟลกซ์

✔ บราซิลนัต (ถั่วบราซิล) อัลมอนด์ พิสตาซิโอ ถั่วลิสง

✔ เมล็ดเจีย

✔ อะโวคาโด

✔ ถั่วเหลืองและผลิตภัรฑ์จากถั่วเหลือง

ไขมันเลว

ไขมันเลว (Low Density Lipoprotein) หรือ LDL

เป็นไขมันที่ติดกับหลอดเลือด ส่งผลให้เกิดภาวะหลอดเลือดหัวใจอุดตัน หลอดเลือดหัวใจแข็งตัได้ และถ้าไปสะสมที่สมองอาจทำให้เกิดโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ถ้าไปสะสมที่หลอดเลือดฝอย จะก่อให้เกิดโรคต่างๆได้มากมายถ้าไปสะสมที่ผนังหลอดเลือดบริเวณอุ้งเชิงกรานจะทำให้เกิดภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้

 

ไขมัน

อาหารแหล่งไขมันเลว (LDL)

✖ ของทอด

✖ เนื้อสัตว์

✖ นม

✖ ชีส เนย

✖ กะทิ

✖ เบคอน

ไขมัน

สรุปว่า... กินไขมันได้มั้ย ?

จริงๆแล้วไม่ใช่ทุกอย่างจะเป็นตัวร้ายเสมอไป ไขมันมีประโยชน์ในการช่วยดูดซึมวิตามินและแร่ธาตุ และช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย แต่ไขมันชนิดเลว (LDL) ในปริมาณที่มากเกินไปก็เป็นสาเหตุของคอเลสเตอรอลสูง ซึ่งเป็นที่มาของโรคเรื้อรังอันตราย เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด

สรุปคือ... เราควรกินอาหารที่มีไขมันในปริมาณที่เหมาะสม โดยเลือกกินอาหารที่ให้ไชมันชนิดดี (HDL) เช่น อะโวคาโด น้ำมันมะกอก เพื่อเพิ่มปริมาณไขมันดีในร่างกาย และหลีกเลี่ยงอาหารที่ให้ไขมันชนิดเลว เช่น ของทอดต่างๆ เพื่อลดโอกาสการเกินภาวะคอเลสเตอรอลสูง

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับ วิธีทำให้ " ผมหนา "

ทำแบบนี้ ผมหนา จริงหรอ ??

 

เล็มผมบ่อย หวังให้ผมยาว ได้ผมจริงมั้ย ??

ยังไม่มีข้อพิสูจน์ใด การันตีว่าการตัดผมบ่อยๆ ทำให้ผมยาวเร็วขึ้นจริง!! แต่ที่เราเห็นว่าไรหนวด หรือผมหน้าม้ายาวเร็วกว่าผมด้านหลัง เป็นเพราะยิ่งผมสั้น ยิ่งใช้สารอาหารไปเลี้ยงน้อย ทำให้ยาวเร็วกว่าผมยาวปกติ

แต่!...บางคนยิ่งเล็มผมบ่อย ผมยิ่งยาวช้า เพราะขึ้นอยู่กับกระบวนการเจริญเติบโตของเส้นผมของแต่ละคนด้วย เพราะฉะนั้น ถ้ายังอยากมีผมยาวๆ อย่าพึ่งเสี่ยงกันเลยค่ะ

สระผมบ่อยๆ ทุกวัน ช่วยให้ผมยาวเร็ว ผมหนาขึ้น จริงมั้ย?

ไม่จริงค่ะ! การสระผมบ่อยๆ นี่บอกเลยว่าสวนทางกับผมหนาแน่นอน เพราะทุกครั้งที่สระผม รูขุมขนบนหนังศีรษะจะเปิดออก ทำให้โคนผมสูญเสียความชุ่มชื้น เสียสารอาหาร ทำให้หนังศีรษะแห้ง และการสระผมบ่อยก็เป็นการกระตุ้นหนังศีรษะอย่างมาก ทำให้เกิดการผลิตน้ำมันออกมาเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ผมมันง่าย เกิดรังแค เส้นผมเปราะบาง หลุดร่วงไปง่ายๆ ทุกวัน เพราะฉะนั้น สระแค่จำเป็นดีกว่านะคะ

 

“หวีผมวันละ 100 ครั้ง แล้วผมจะดกหนาสุขภาพดี”

ถ้าคุณเชื่อแบบนี้มาตลอด บอกเลยว่าโดนหลอกแล้ว! การหวีผมมากๆน่ะ ตัวการทำผมเสียเลย! เพราะยิ่งหวี ยิ่งทำลายเคราตินที่ปกป้องดูแลเส้นผมอยู่ ทำให้ผมแห้ง ไม่เงางาม และการหวีผมมากเกินไปยังเป็นการกระตุ้นหนังศีรษะเกินความจำเป็น เป็นการเร่งให้ผมร่วงมากกว่าปกติด้วย!

 

กินฮอร์โมนเร่ง ผมหนา ควรระวัง!

ฮิตกันจริง ไม่ว่าจะทานยาคุมให้ผมยาวบ้างล่ะ เอายาคุมมาบดแล้วหมักผมมั่งล่ะ สุดท้ายก็ผิดหวัง เพราะถึงแม้ยาคุมบางชนิดจะสามารถช่วยในเรื่องของผิวพรรณ ลดสิว ลดขนดกก็จริง แต่ไม่ได้ช่วยให้ผมหนานะ! เตือนไว้เลย ยาฮอร์โมนไม่ใช่ยาวิเศษ ยิ่งการเอายาคุมไปบดแล้วหมักผม ยิ่งทำให้ผมแห้งเสียมากขึ้นไปอีก แถมการกินยาคุมโดยไม่ปรึกษาเภสัชกรให้ดีอาจส่งผลกระทบต่อฮอร์โมรในร่างกายทำให้เสียสุขภาพเข้าไปอีก 

 

อยากผมหนาจริงๆ เลือกใช้ RESTIV ทุกวัน และรับประทาน Zinc วันละ 1 เม็ด

ไม่ต้องหวังลมๆ แล้งๆ เสียกำลังใจให้ความเชื่อที่ผิด ถ้าอยากให้ผมกลับมาหนา ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นมาเพื่อช่วยแก้ปัญหาผมร่วงโดยเฉพาะ อย่างโฟมเพื่อผมหนา RESTIV ที่คิดค้นสูตรในประเทศฝรั่งเศส และผลิตในประเทศสเปน ส่งตรงถึงมือคุณเพื่อเป็นตัวช่วยลดผมหลุดร่วง บวกกับการรับประทาน Zinc ซึ่งมีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตของเส้นผม รวมเป็น 2 พลังเพื่อ ผมหนา อย่างมีความหวัง

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


รู้ทัน ป้องกันพยาธิ

โรคพยาธิ คือ โรคที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต ประเภทปาราสิต ( parasite ) ซึ่งตัวพยาธิอาศัยอยู่ในร่างกายมนุษย์และเจริญเติบโต และ แย่งสารอาหารต่างๆของร่างกาย ตัวพยาธิสามารถเพิ่มจำนวนและเป็นอันตรายต่อร่างกาย ส่งผลกระทบต่อการเกิดโรคต่างๆหลายชนิด
โรคเกี่ยวกับพยาธิ เกิดจากพยาธิ 3 กลุ่ม คือ พยาธิตัวกลม พยาธิตัวแบน และ พยาธิใบไม้


พยาธิตัวกลม เป็นพยาธิที่มีลักษณะกลม ไม่มีปล้อง มักพบในเนื้อสัตว์และสัตว์น้ำ รวมถึงพืชผักที่ไม่สะอาอาด โรคจากพยาธิตัวกลม เช่น โรคพยาธิไส้เดือน โรคพยาธิเส้นด้าย โรคพยาธิปากขอ โรคพยาธิตัวจี๊ด โรคพยาธิแส้ม้า พยาธิสตรองจีลอยด์ และ โรคเท้าช้าง เป็นต้น


พยาธิตัวแบน หรือ เรียกว่า พยาธิตัวตืด เป็นพยาธิที่มีลักษณะแบน มีปล้อง พบในเนื้อสัตว์ โรคเกี่ยวกับพยาธิตัวแบน เช่น โรคพยาธิตัวตืด เป็นต้น


พยาธิใบไม้ เป็นพยาธิที่มีลักษณะ ลำตัวแบนเหมือน พยาธิตัวแบน แต่ไม่มีปล้อง พบในสัตว์น้ำ โรคที่เกิดจากพยาธิใบไม้ เช่น โรคพยาธิใบไม้ในเลือด โรคพยาธิใบไม้ในตับ เป็นต้น

สาเหตุการเกิดโรคพยาธิ
การเกิดโรคพยาธิ เกิดจาการรับพยาธิหรือไข่พยาธิเข้าสู่ร่างกาย โดยช่องทางการเข้าสู่ร่างกายของพยาธิ สามารถสรุป ได้ดังนี้
เข้าทางปาก จากการกินอาหารที่มีการปนเปื้อนของไข่พยาธิ หรือ ตัวพยาธิ

เข้าทางผิวหนัง เกิดจากการเข้าทางแผล หรือ สัตว์อื่นที่เป็นพาหะ เช่น ยุงกัด เป็นต้น

อาการเบื้องต้นของโรคพยาธิ

สำหรับผุ้ป่วยโรคพยาธิ มีอาการไม่เด่นชัดนัก แต่พอที่สามารถสังเกตุ ได้โดย

    • น้ำหนักตัวลด
    • ท้องอืด ท้องเฟ้อ
    • ท้องเสียบ่อย
    • หิวบ่อย
    • มีอาการบวมแดง หรือ เป็นตุ่มนูน หรือ ผื่นแดง หรือ คัน ที่ผิวหนัง
    • ปวดศีรษะ
    • ปวดเมื่อยตามตัว
    • ตาพร่ามัว
    • ตัวเหลือง
    • ท้องบวมโต

    การตรวจวินิจฉัยโรคพยาธิ
    การตรวจโรคพยาธิ สามารถทำได้โดยการตรวจทวารหนัก ตรวจอุจจาระ ซึ่งควรเก็บอุจจาระในช่วงตื่นนอนตอนเช้าใหม่ จะทำให้มีโอกาสตรวจพบพยาธิมากที่สุด

    การรักษาโรคพยาธิ
    สำหรับการรักษาโรคพยาธิ ในปัจจุบันรักษาโดยการรับประทานยาถ่ายพยาธิ ซึ่งการรับประทานยาแบ่งได้ 3 ชนิด โดยรายละเอียด ดังนี้
    Albendazole สามารถใช้กำจัดพยาธิได้ทุกชนิด เช่น พยาธิเส้นด้ายหรือพยาธิเข็มหมุด พยาธิไส้เดือน พยาธิปากขอ พยาธิใบไม้ และพยาธิตัวตืด ยกตัวอย่างยาชื่อการค้า “ALBEN” เป็นต้น

    Mebendazole สามารถใช้กำจัดพยาธิตัวกลม เช่น พยาธิปากขอ พยาธิแส้ม้า พยาธิเส้นด้าย พยาธิไส้เดือน พยาธิตัวจี๊ด ยกตัวอย่างยาชื่อการค้า “Fugacar” เป็นต้น
    Niclosamide สามารถใช้กำจัดพยาธิตัวตืด เช่น พยาธิตัวตืดหมู พยาธิตัวตืดวัว เป็นต้น

    การป้องกันโรคพยาธิ

    การป้องการการเกิดโรคพยาธิ ต้องป้องกันการที่ตัวพยาธิหรือไข่พยาธิเข้าสู่ร่างกาย ต้องลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ โดยรายละเอียด ดังนี้

    • กินอาหารที่ปรุงสุก
    • ล้างผักให้สะอาดก่อนรับประทาน
    • ล้างมือให้สะอาดก่อนกินอาหาร
    • ดื่มน้ำที่สะอาด
    • ต้องเก็บรักษาอาหารไม่ให้สิ่งมีชีวิตเข้าไปวางไข่
    • หากมีแหล่งน้ำขังต้องไม่ลุยน้ำหรือการสัมผัสกับน้ำ ต้องสวมรองเท้าบูทป้องกัน
    • ใส่เสื้อผ้ามิดชิด ป้องกันการโดนแมลงสัตว์กัดต่อย และ รักษาความสะอาดของเสื้อผ้า

    https://med.mahidol.ac.th/sites/default/files/public/img/infographics/infographic154-191262.jpg
    https://beezab.com


พฤติกรรมสุดทน!! ของคน ติดโซเชียล ไม่ห่างจอ

คุณเป็นคนติดจอ แบบนี้หรือไม่ ??

 

ปวดตา

ใกล้จอ จนบังมุมมองคนอื่น

นั่งติดชิดจอเกินไป นอกจากจังบังมุมมองของคนอื่นแล้ว ยังทำให้สายตาพัง พัง พังอีกด้วย!! การนั่งดูโทร์ทัศน์ คอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกต่างๆในระยะที่ใกล้เกินไป ส่งผลให้สายตารับแสงมาจนเกินไป ส่งผลให้กล้ามเนื้อดวงตาเกิดการเกร็งอย่างต่อเนื่อง ยิ่งถ้าทำแบบนี้เป็นประจำจะทำให้สายตาล้าและสายตาเสียในระยะยาวได้ ดังนั้น การดูโทร?ัศน์ควรนั่งห่างจากจอในระยะที่พอดี และวางโทรทัศน์ให้อยู่ในระดับสายตาพอดี จะได้ไม่ต้องเงยหน้าหรือก้มหน้ามากจนเกินไป ซึ่งอาจส่งผลให้สายตาต้องเกร็งมากขึ้นไปอีก รวมถึงการใช้คอมพิวเตอร์ ก็ไม่ควรนั่งหน้าติดจอมากเกินไป และถ้าหากต้องใช้สายตาจ้องคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ควรสวมแว่นกรองแสงเพื่อช่วยกรองแสงสีฟ้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้กระทบต่อสายตาน้อยลง

 

ติดโซเชียล

จ้องจอ จนไม่ดูทาง

พฤติกรรมนี้เสี่ยงถึงชีวิต!! สมัยนี้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบจะเป็นปัจจัยที่ 5 ของมนุษย์อยู่แล้ว จนทำให้บางคนลืมไปว่า ควรละสายตาออกจากหน้าจอต่างๆบ้าง โดยเฉพาะเมื่อกำลังทำอะไรที่ต้องมองอย่างตั้งใจ หรือใช้สติ เช่น ขับรถ เดินข้ามถนน มีอุบัติเหตุไม่น้อยที่เกิดจากคนที่ใช้โทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆขณะขับรถและเดินข้ามถนน เพราะฉะนั้น ควรหลีกเลี่ยงการมองจอ และมีสติกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้ากันก่อนนะคะ นอกจากการมองจอแล้ว อีกหนึ่งอย่างที่สำคัญคือ การใส่หูฟังเปิดเพลงดังๆจนไม่ได้ยินเสียงคนเรยกหรือรถที่บีบแตรขณะเดินข้ามถนนหรือเดินอยู่ริมถนน และการใส่หูฟังขณะกำลังเดิน ทำให้ปฏิกิริยาในการตอบสนองของร่างกายช้าลงอีกด้วย จึงอาจทำให้หลบรถหรืออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นรอบตัวไม่ทัน การใส่หูฟังขณะเดินข้ามถนนจึงเป็นอีกหนึ่งอย่างที่มักก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ ทุกคนควรระวังกันให้มากๆนะคะ

" ข้ามถนน งดดูจอ ถอดหูฟัง!! "

 

ติดโซเชียล

ติดจอ จนรบกวนคนรอบข้าง

การดูจออยู่ในที่ที่มีคเยอะๆ เช่น บน BTS (ซึ่งเชื่อว่าคนส่วนมากมักหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่น) จนมัวแต่จ้องสนใจจอโดยไม่สนใจคนรอบข้าง อาจทำให้คุณกำลังรบกวนคนรอบข้างโดยไม่รู้ตัว เช่น ยืนเบียดคนรอบข้าง เปิดโทรศัพท์เสียงดัง หรือแม้แต่เดินชนคนอื่นๆเพราะมัวแต่จ้องจอ ติดจอแบบนี้ไม่ดีแน่! อย่าลืมเงยหน้าสนใจคนรอบข้างบ้างนะคะ เนื้อคู่อาจอยู่แถวๆนั้นก็ได้ ^^

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


4 สารอาหาร จำเป็นสำหรับวัยกำลังโต

สารอาหารสำคัญ สำหรับ

"เด็กกำลังโต"

 

วิตามินซี

วิตามินซี (Vitamin C)

เป็นวิตามินที่คงรู้จักกันดีที่สุดแล้ว สำหรับวิตามินซี ไม่ว่าช่วงไหน วัยไหน ก็ต้องเสริมวิตามินซีอย่าได้ขาด!! เพราะวิตามินซี ช่วยป้องกันหวัด และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับเด็กๆ

วิตามินซีมีคุณสมบัติเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ และเป็นวิตามินที่สลายตัวเร็วเมื่อตั้งทิ้งไว้ในอากาศ โดนแสง และความร้อน ทำให้พืชผักที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารต่างๆมักสูญเสียวิตามินซีไปได้ง่ายๆในระหว่างขั้นตอนการปรุงอาหาร  เช่น การหั่นผักแล้วล้างก็อาจะทำให้วิตามินซีละลายไปกับน้ำแล้ว หรือการนำไปต้มด้วยความร้อนก็สามารถทำลายวิตามินซีได้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ร่างกายของเราไม่สามารถผลิตและไม่สะมารถสะสมวิตามินซีไว้ได้นาน เพราะวิตามินซีละลายในน้ำและจะถูกขับออกทางปัสสาวะ ทำให้ร่างกาของเรามีโอากาสที่จะขาดวิตามินซีได้ง่าย จึงมีการแนะนำให้รับประทานวิตามินซีเป็นประจำทุกวันเพื่อป้องกันการ ขาดวิตามินซี นั่นเอง

 

แคลเซียม

แคลเซียม (Calcium)

แคลเซียม เป็นแร่ธาตุที่พบมากที่สุดในร่างกาย คือ 2% โดย 99% ของแคลเซียมจะพบในกระดูก ฟัน เล็บ และพบ ส่วนอีก 1% พบที่กล้ามเนื้อ จะเห็นได้ว่า แคลเซียมเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยในการเติบโตของเด็กๆ เพราะช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง

หลายๆคนอาจจะรู้จัก “แคลเซียม” ในฐานะของส่วนประกอบสำคัญของกระดูกและฟันและจำเป็นต่อการคงสภาพปกติของกระดูกและฟัน แต่นอกจากจะเป็นสารที่จำเป็นต่อกระดูกและฟันแล้ว แคลเซียมยังมีประโยชน์อย่างมากต่อระบบอื่นๆในร่างกาย เช่น

  • มีส่วนช่วยในการแข็งตัวตามปกติของเลือด
  • มีส่วนช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานจากเมตาบอลิซึมตามปกติ
  • มีส่วนช่วยในการทำงานตามปกติของกล้ามเนื้อ
  • มีส่วนช่วยในการทำงานตามปกติของสารสื่อประสาท
  • มีส่วนช่วยในการทำงานตามปกติของเอนไซม์ในระบบอ่อนอาหาร

 

โอเมก้า3

น้ำมันปลา (Fish Oil)

น้ำมันปลา จัดอยู่ในสารอาหารประเภทไขมัน ซึ่งเป็นแหล่งของกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย คือ กรดไขมันโอเมก้า-3 (Omega-3) ซึ่งโอเมก้า-3 ที่พบในน้ำมันปลามี 2 ชนิด คือ EPA และ DHA

EPA (Eicosapentaenoic Acid) มีคุณสมบัติในการลดไขมัน ไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ลดคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL Cholesterol) ในเลือด ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด ป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือดซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคหลอดเลือดสมองตีบตันและหัวใจขาดเลือด จึงลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ

DHA (Docosahexaenoic Acid) เป็นกรดไขมันที่เป็นส่วนประกอบของสมองและดวงตา ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง การเรียนรู้ ความจำ DHA จึงจำเป็นต่อการเจริญเติบตาด้านสมองและดวงตาของเด็กๆ

 

วิตามินรวม

วิตามินรวม (Multivitamins)

เป็นการนำวิตามินที่จำเป็นต่อการดูแลร่างกายขั้นพื้นฐานมารวมกัน เพื่อให้ร่างกายไม่ขาดสารเหล่านั้น เช่น วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินดี

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


ควรระวัง!! 5 อาการ ผิวหนัง ผิดปกติ

อย่ามองข้าม !! อาการที่ผิวหนังกำลังฟ้องบอกคุณ

 

ผิวแห้ง

คันทั้งตัวจนนอนแทบไม่ได้

อาการคันผิวหนัง ดูเผินๆอาจไม่ร้ายแรง แต่เป็นอาการที่สร้างความรำคาญได้มากๆเลยทีเดียว บางทีคันจนนอนแทบไม่ได้ ทรมานมากกว่าที่คิด เพราะฉะนั้น คุณไม่ควรปล่อยให้อาการคันเกิดขึ้นจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง อาการคันบริเวณผิวหนังบ่งบอกถึงสุขภาพผิวที่กำลังมีปัญหา โดยส่วนมากแล้วอาการคันผิวหนังมักเกิดจากการมีผิวแห้ง หรือเกิดการอักเสบที่ผิวหนัง อาจสังเกตว่ามีอาการแดงร่วมด้วยหรืออาจไม่มีอาการแดงแต่มีผิวลอกเป็นขลุยให้รำคาญใจแทน ถ้ามีการลอกเป็นขลุย สามารถเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวบริเวณนั้นอย่างเร่งด่วนได้ง่ายๆด้วยการทาครีมหรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของมอยเจอร์ไรเซอร์เข้มข้น หรือใช้น้ำมันสำหรับบำรุงผิวทาบริเวณที่แห้งได้ หากมีอาการผิวแดงหรืออักเสบร่วมด้วยควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง ที่สำคัญคืออย่าลืมดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้ผิวจากภายในเป็นสิ่งที่ดีต่อร่างกายและผิวหนังมากที่สุด นอกจากนี้ สาวๆที่มีผิวแห้งยังสามารถเลือกรับประทานอาหารหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากธรรมชาติที่มีส่วนช่วยในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหนังได้ เช่น วิตามินอี คอลลาเจน น้ํามันอีฟนิ่งพริมโรส น้ำมันโบราจ เซอรามายน์

 

ผิวแห้ง

ผิวแห้งแตกเหมือนเกล็ดปลา

นอกจากอาการคันผิวหนังที่น่ารำคาญใจแล้ว การมีผิวแห้งขาดความชุ่มชื้นแบบสุดๆนั้นอาจทำให้ผิวแห้งแตกเหมือนเกล็ดปลาแบบสังเกตได้ เชื่อว่าสาวๆคงไม่อยากให้ผิวเนียนๆเปลี่ยนเป็นเกล็ดปลาไปแน่นอน ดังนั้น ถ้าผิวแห้งเบอร์นี้แล้ว ต้องจัดเต็มความชุ่มชื่นให้ทั้งภายนอกและภายในถึงจะเอาอยู่!! ด้วยวิธีการที่คล้ายๆกับการลดผิวแห้งเมื่อมีอาการคัน แต่อาจต้องใส่ใจกับการทามอยเจอไรเซอร์ที่ผิวหนังให้มากขึ้นไปอีก เพราะการที่ผิวแห้งขั้นสุดจนหยาบกร้านและสากเหมือนเกล็ดปลา ควรใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่เนื้อหนักเพื่อบำรุงและเคลือบเก็บความชุ่มชื่นให้ผิวได้ยาวนานขึ้น เช่น ครีมเข้มข้น หรือครีมที่มีส่วนผสมของน้ำมัน

 

ขี้ไคล

ปื้นดำเหมือนขี้ไคล

สังเกตกันหน่อยมั้ย?? ผิวของเรามีสีผิดปกติไปบ้างหรือยัง บางครั้งผิวของคนเราสามารถมีขี้ไคลซึ่งเกิดจากเซลล์ผิวหนังเก่าที่ตายแล้วไม่ได้หลุดออกไป และยังคงทับถมอยู่บนผิวทำให้เกิดเป็นลักษณะปื้นดำได้ แต่ถ้าหากผิวหนังเป็นปื้นดำเหมือนขี้ไคลแต่ขัดไม่ออก อยู่บริเวณรอบลำคอและบริเวณรอยพับในร่างกาย เรียกว่า "Acanthosis Nigricans" ซึ่งเกิดการที่เซลล์แบ่งตัวผิดปกติ อาจบ่งบอกว่าระดับน้ำตาลในเลือดของคุณสูงและมีแนวโน้มว่าโรคเบาหวานกำลังจะถามหา

 

ด่างขาว

วงขาวปรากฏบนผิว

ถ้าเป็นวงสีขาวเหมือนกระดาษมีเส้นขอบชัดเจน ถือเป็นสัญญาณเตือน ซึ่งอาจจะไม่ใช่ เป็นแค่โรคเกลื้อนธรรมดา แต่คาดคะเนว่าคุณกำลังเป็นโรคด่างขาว ที่เกิดจากเซลล์เม็ดสีในบริเวณต่างๆ
ถูกทำลายจนหมด แม้โรคนี้จะทำลายความงาม ไม่ได้มีอันตรายร้ายแรงอะไร แต่คุณอาจมีฮอร์โมนไทรอยด์ผิดปกติ หรือเป็นโรคเบาหวานชนิดพิเศษซ่อนอยู่ก็ได้ ทางที่ดีควรรีบไปปรึกษาแพทย์

 

ผิวเหลือง

ผิวเหลืองต่างจากเดิม

เป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายเกิดความผิดปกติ อาจเป็นโรคตับอักเสบและทำงานผิดปกติ หรือเป็นนิ่วหรือเนื้องอกทำให้ท่อหรือถุงน้ำดีอุดตันได้ ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้น้ำดีออกมาคั่งในร่างกายที่เรียกว่า "ดีซ่าน" ควรสังเกตเพิ่มเติมว่าเยื่อบุตาขาวเปลี่ยนเป็นสีเหลืองด้วยหรือไม่

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


เช็คด่วน!! คุณ ขี้ลืม แค่ไหน ทำยังไงให้ความจำดี

ใครเคยเป็นแบบนี้บ้าง ?? เช็คด่วน !!

 

ขี้ลืม

วางของไว้ไหน จำไม่เคยได้

 

ขี้ลืม

เมื่อเช้ากินอะไรเข้าไปก็ลืมซะแล้ว

 

ลืม

จำทางผิด ชีวิตเปลี่ยน

 

ความจำ

จะลืมอะไรก็ได้ แต่ถ้าลืมที่จอดรถ จะกลับบ้านไม่ได้ !!

 

เชื่อว่าหลายๆคนคงเจอเหตุการณ์แบบนี้อย่างน้อย 1 ข้อเป็นประจำ!! ซึ่งก็ทำให้ชีวิตของคุณต้องสะดุดจากการ ขี้หลง ขี้ลืม แบบนี้ ซึ่งนอกจากการพยายามมีสติอยู่ตลอดเวลาแล้ว การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อการบำรุงสมองก็สมารถช่วยได้เช่นกัน

สารอาหารบำรุงสมองและระบบประสาท

น้ำมันปลา (Fish Oil)

น้ำมันปลา เป็นสารอาหารประเภทไขมัน ซึ่งหลายคนอาจะสงสัยว่า แล้วน้ำมันจะดีต่อร่างกายจริงหรือ ? กินแล้วจะไม่ทำให้อ้วนหรือ ? ซึ่งน้ำมันปลา (Fish Oil) นี้แตกต่างจากน้ำมันพืช หรือน้ำมันที่ได้จากสัตว์อื่นๆ เพราะน้ำมันปลาเป็นกรดไขมันจำเป็นต่อร่างกายที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ เรียกว่า กรดไขมันโอเมก้า-3 (Omega-3) ซึ่งโอเมก้า-3 ที่พบในน้ำมันปลามี 2 ชนิด คือ

  1. ไอโคซาเพนทาอีโนอิก แอซิด (Eicosapentaenoic Acid หรือ EPA) สามารถช่วยลดไตรกรีเซอไรด์ในเลือด ลดคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL Cholesterol) ในเลือด ป้องกันการอุดตันของเส้นเลือด ป้องกันการเกาะตัวของเกร็ดเลือดซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคหลอดเลือดสมองตีบตันและหัวใจขาดเลือด จึงลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
  2. โคซาเฮกซาอีโนอิก แอซิด (Docosahexaenoic Acid หรือ DHA) หลายๆคนน่าจะเคยได้ยินในชื่อ DHA เป็นกรดไขมันที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของสมองและดวงตา ซึ่ง DHA ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง การเรียนรู้ ความจำ การศึกษาทางคลีนิกพบว่า DHA มีส่วนในการพัฒนาสมองและการมองเห็น จึงมีการแนะนำให้คุณแม่ตั้งครรภ์และให้นมบุตรควรได้รับ DHA 200-300 มิลลิกรัมต่อวัน เพราะมีประโยชน์ต่อการพัฒนาสมอง โดยเฉพาะช่วงที่กำลังสร้างเซลล์สมองในทารกและในเด็ก ดังนั้น การที่เด็กๆควรได้รับ DHA ในปริมาณที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาการต่างๆด้วยเช่นกัน

คริลล์ออย (Krill Oil)

คริลล์ออย ชื่อนี้อาจจะยังไม่คุ้นหูเท่าไหร่ แต่จริงๆแล้วคริลล์ออยเป็นน้ำมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกายรวมถึงสมองมากกว่าน้ำมันชนิดอื่นๆมาก ซึ่งคริลล์  คือ สัตว์ทะเลขนาดเล็กในกลุ่มเดียวกับกุ้งขนาดเล็ก (Crustaceans) อาศัยอยู่ใต้ทะเลลึกของมหาสมุทรแอนตาร์กติกในขั้วโลกใต้ ซึ่งเป็นอาหารของปลาทะเลและสัตว์น้ำขนาดใหญ่ ส่วนน้ำมันคริลล์ออย เป็นน้ำมันที่สกัดได้จากสัตว์ทะเลขนาดเล็กในกลุ่มเดียวกับกุ้งขนาดเล็ก (Crustaceans) ซึ่งในทางอุตสาหกรรมได้มีการนำคริลล์มาสกัดเป็นน้ำมัน และใช้ในการบำรุงสุขภาพร่างกาย เพราะในคริลล์ออยมีสารหลัก 4 ชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

1. ฟอสโฟลิพิด (phospholipid) คือ ลิพิด ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของกลีเซอรอล1 โมเลกุล ของกรดไขมัน 2 โมเลกุล และกรดฟอสฟอริก 1 โมเลกุล ในโมเลกุลมีทั้งส่วนที่ชอบน้ำ (hydrophilic) และไม่ชอบน้ำ (hydrophobic) สามารถใช้เป็นอิมัลซิไฟเออร์ (emulsifier) พบมากในเยื่อหุ้มเซลล์ของร่างกาย

✔ สำคัญต่อการสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Membrane)

✔ เยื่อหุ้มเซลล์ คือ โครงสร้างของเซลล์ รวมถึงการยึดเกาะของเซลล์ต่างๆ ให้กลายเป็นโครงสร้างเนื้อเยื่อที่แข็งแรง

✔ ฟอสโฟลิพิดที่อยู่ในคริลล์จะผูกติดอยู่กับ Omega 3  จึงทำให้สามารถแทรกผ่านเยื่อหุ้มเซลล์เพื่อเข้าสู่ระบบต่างๆ ในร่างกายได้รวดเร็วกว่าโอเมก้า-3 ทั่วไป

2. Omega-3 ( EPA & DHA) แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ

EPA (Eicosapentaenoic Acid)

  • ช่วยลดไขมันชนิดเลว LDL และไตรกลีเซอไรด์
  • ลดการสะสมของไขมันที่ผนังหลอดเลือด อันเป็นต้นเหตุสำคัญของโรคหลอดเลือดอุดตัน

DHA (Docosahexaenoic Acid)

  • ส่งเสริมการทำงานของระบบประสาทและสมอง
  • เพิ่มประสิทธิภาพในการคิดและจดจำ
  • ชะลอความเสื่อมของระบบประสาทและสมอง
  • เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของ เรตินาในดวงตา

3. แอสต้าแซนทิน (Astaxanthin)

  • เป็นรงควัตถุสีแดงที่พบได้ในสัตว์ทะเลกลุ่ม Crustaceans
  • เป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์
  • มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระสูงมาก จนได้ชื่อว่าเป็น Super antioxidant
  • มีฤทธิ์ป้องกันการทำลายจากอนุมูลอิสระ ทั้งส่วนที่เป็นน้ำและน้ำมัน
  • เป็นสารที่ช่วยรักษาคุณสมบัติของ Omega-3 ให้คงอยู่นานขึ้น ไม่เหม็นหืนเมื่อเวลาผ่านไป

4. โคลีน (Choline) เป็นอีกหนึ่งส่วนประกอบที่สำคัญที่พบใน น้ำมันคริลล์ มีหน้าที่สำคัญมากสำหรับการทำงานของสมองเช่น ช่วยให้การทำงานของสารสื่อประสาท และการรับส่งสัญญาณในสมองมีประสิทธิภาพมากขึ้น

แปะก๊วย (Ginkgo)

แปะก๊วยมีสรรพคุณด้านเพิ่มความจำ โดยจะช่วยไปยับยั้งอะซิทิลโคลีนเอสเตอเรล (Acetylcholinesterase) ซึ่งเป็นสารที่ทำลายสารสื่อประสาทเมื่อเซลล์ประสาทจะส่งสัญญานถึงกัน พบว่า ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ คนชรา คนที่มีความจำไม่ดี จะมีอะซิทิลโคลีนเอสเตอเรสมาก คือมีตัวทำลายสารสื่อประสาทมากนั่นเอง ส่งผลให้เซลล์ประสาทไม่สามารถติดต่อกันได้ทำให้เกิดการหลงลืม

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


4 วิธีเตรียม งานผิว ให้พร้อมรับซัมเมอร์

 

สมัยนี้ งานผิว เป็นสิ่งสำคัญสำหรับสาวๆทุกคน ใครๆก็อยากมีผิวสวยสดใส แม้ว่าแดดประเทศไทยจะไม่ค่อยเป็นใจก็ตาม!! ยิ่งแดดร้อนเท่าไหร่ เราก็ยิ่งต้องหาสาระพัดวิธีมาดูแลให้ผิวสวยสู้แดดกันมากยิ่งขึ้นไปอีก

วันนี้เรามีเคล็ดไม่ลับ ฉบับสาวผิวสวยมาแชร์ให้สาวๆทุกคนมี งานผิว ปังๆกันถ้วนหน้า

 

ผิวชุ่มชื้น

ดื่มน้ำให้เพียงพอ รอผิวเนียน

ทุกคนคงรู้ดีว่าการดื่มน้ำ เป็นหัวใจสำคัญของสุขภาพที่ดี รวมถึงสุขภาพผิวด้วย สาวๆควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หรือ 2-3 ลิตรต่อวัน เพราะน้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญร่างกายทั้งหมด โดยเฉพาะเซลล์ผิวของเรา ต้องการน้ำเพื่อเติมเต็มความชุ่มชื้นให้เซลล์ผิวอยู่ตลอด เพื่อผิวพรรณที่เต่งตึง ชุ่มชิ้น เนียนนุ่ม เปล่งปลั่ง ดังนั้น จุดเริ่มต้นที่สำคัญของ งานผิว คือการดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวันนั่นเอง ซึ่งเป็นเรื่องง่ายๆที่หลายคนมักยังทำไม่ได้

 

ผิวสวย

ออกกำลังกาย เสียเหงื่อเพื่อผิวสวย

เมื่อดื่มน้ำเข้าร่างกายไปแล้ว เราก็ต้องมาเสียเหงื่อให้กีฬากันบ้าง เพราะการออกกำลังกายเป็นกิจวัตรที่สำคัญที่จะนำไปสู่สุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน การออกกำลังกายช่วยให้ร่างกายได้ขับของเสียออกมาผ่านทางเหงื่อ

 

ผิวสวย

ขัดผิว ให้ออร่าออก

การขัดผิวหรือสครับผิว เป็นการผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพแล้วออกไป เพื่อเผยผิวใหม่ที่ดูสดใส โดยการสครับผิวนั้นสามารถทำได้

 

วิตามินซี เพื่อผิวแข็งแรง

วิตามินซี เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ต่อทั้งสุขภาพร่างกาย และสุขภาพผิว และยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างกระบวนการผลิตคอลลาเจน ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ทำให้ผิวสวย ผิวแข็งแรง สามารถทนต่อมลภาวะได้มากยิ่งขึ้น การรับประทานวิตามินซีเป็นประจำจึงมีส่วนช่วยให้ผิวสวยอยู่กับคุณไปนานๆ

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


วิธีจัดการกับ ความเครียด ยุค 2020

5 วิธีจัดการกับความเครียดยุค 2020

 

คลายเครียด

 

เชื่อว่าช่วงที่ผ่านมา หลายๆคนอาจประสบปัญหาและมีความกังวลในช่วงที่ Covid-19 ยังระบาด ถึงแม้ตอนนี้สถาณการณ์จะดีขึ้นมากแล้ว แต่อย่าลืมว่าการป้องกันตัวและไม่ประมาท การ์ดอย่าตกยังเป็นสิ่งสำคัญเสมอ จากเหตุการณ์ที่ผ่าน คงมีหลายคนต้องเผชิญกับความเครียดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่า ความเครียดนั้นส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างมาก ทั้งสุขภาพจิตใจและสุขภาพกายด้วย วันนี้เรามาดู 5 ไอเดีย วิธีจัดการกับ ความเครียด ในยุค 2020 กันค่ะ

 

ออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ ลด ความเครียด

รู้หรือไม่ว่า... ความเครียดที่จะตามหลอกหลอนคนเราได้มากที่สุด คือความเครียดที่เกิดจากสุขภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรง หรือมีปัญหาสุขภาพ เพราะเราไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะเจอกับอาการผิดปกติของร่างกายได้ เมื่อร่างกายกำลังฟ้องว่ามีปัญหาสุขภาพ เช่น ปวดหลัง ปวดตามข้อเข่า เป็นปัญหาที่คนยุคนี้เจอกันบ่อยมาก เพราะต้องนั่งทำงานในออฟฟิศกันวันละหลายๆชั่วโมง และแน่นอนว่า อาการปวดเหล่านี้ก็จะคอยเตือนคุณด้วยการสร้างความเจ็บปวดอยู่แทบตลอดเวลา ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดที่คุณจะทำให้กับตัวเองได้ในทุกๆวัน คือ การดูแลสุขภาพอย่างดีที่สุด โดยการจัดออกกำลังกาย ไม่ใช่แค่จะหาเวลาออกกำลังกาย!! แต่เราต้องจัดเวลาเพื่อออกกำลังกายโดยเฉพาะ นั่นหมายความว่า คุณจะให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายเหมือนเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ต้องทำนั่นเอง ซึ่งขณะที่ออกกำลังกายจะเข้าไปกระตุ้นสมองให้เกิดการหลั่งสารแห่งความสุข เรียกว่าสาร “โดพามีน” ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่หน้าที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกยินดีและการมีความสุข เป็นเหตุผลที่ การออกกำลังกายสามารถช่วยเพิ่มคลายเครียดได้

นอกจากนี้ การรับประทานอาหารดีๆ โดยคำว่า "อาหารดีๆ" ในนิยามของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน บางคนอาจรู้สึกว่าอาหารดีๆคืออาหารที่ตัวเองชอบ โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของอาหารนั้นๆ หรือบางคนอาจเข้าใจว่า อาหารดีๆ คือ อาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งก็ต้องบอกว่าถูกต้องทั้งหมดตามความคิดของแต่ละคน แต่ถ้านึกถึงผลที่ตามมาหลังการรับประทาน การรับประทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์ต่อร่างกาย หรือเรียกว่า อร่อยดีมีประโยชน์ จะทำให้คุณรู้สึกมีความสุขกับความอร่อยขณะรับประทาน และจะช่วยให้คุณ "รู้สึกดี" หลังจากรับประทานด้วย เพราะเหมือนว่าคุณจะได้ให้สิ่งที่ดีและมีประโยชน์ให้กับร่างกายของคุณแล้วในวันนี้ การได้ดูแลตัวเองวันละเล็กน้อยล้วนส่งผลดีต่อจิตใจ และสร้างความภูมิใจในตัวเอง ส่งผลให้คุณมีความสุขและความเครียดลดลงได้

ปลูกต้นไม้ เป็นสายเขียว เยียวยาจิตใจ

เทรนด์รักษ์โลกกำลังมาแรงอย่างต่อเนื่อง หลายประเทศให้ความสำคัญและรณรงค์อย่างจริงจังในการปลูกต้นไม้และลดการใช้ขยะ ซึ่งนอกจากการปลูกต้นไม้จะเป็นารช่วยโลกแล้ว ยังเป็นการช่วยลดความเครียดให้ตัวคุณเองได้อีกด้วย เพราะการปลูกต้นไม้ต้องใช้ความใจเย็น การอยู่กับต้นไม้เงียบๆอาจช่วยให้ใจของคุณสงบและเย็นลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่งไปกว่านั้น การได้มองสีเขียวของต้นไม้จะช่วยพักสายตาของคุณที่จ้องอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตลอดเวลาให้ได้พักบ้าง แถมยังเป็นการทำกิจกรรมใหม่ๆที่ไม่ได้ใช้งบประมาณเยอะ ทำได้ที่บ้าน ช่วยสร้างบรรยากาศดีๆ อากาศที่ดี วิวที่ดี ก็สามารถช่วยให้คุณและคนรอบข้างรู้สึกสดชื่นขึ้นมากเลยทีเดียว

 

ความเครียด

อ่านหนังสือคลายเครียด ค้นพบคนใหม่ในตัวคุณ

การอ่านหนังสือ บางคนแค่ฟังก็รู้สึกเครียดแล้ว แต่นั่นอาจจะเป็นเพราะว่า "คุณยังไม่เจอหนังสือที่ใช่สำหรับคุณ" หนังสือมีมากมายหลายประเภทให้เลือกกัน ความสำคัญอยู่ที่การเลือกประเภทหนังสือให้เหมาะกับคุณและความรู้สึกของคุณในช่วงนั้นๆ เช่น ช่วงที่รู้สึกอยากพัฒนาตนเอง สามารถเลือกหนังสือประเภท Self enrichment มาอ่านได้ เพราะเป็นหนังสือที่อ่านง่าย ให้แนวความคิดใหม่ๆที่อาจทำให้คุณค้นพบบางอย่างที่อยู่ในตัวคุณ เช่น ความสามารถใหม่ๆ หรือแนวคิดในการใช้ชีวิตแบบใหม่ ที่เป็นทางออกของปัญหาที่คุณกำลังเผชิญอยู่ก็ได้

 

พักโซเชียล ลด ความเครียด ได้

การติดตามข่าวสารในโซเชียลนั้นเป็นเรื่องดี แต่บางครั้งการเสพโซเชียลมากเกินไปก็อาจส่งผลเสียมากมายให้กับคุณได้ แถมการจ้องมองอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ ก็ทำให้สายตาเกิดความล้า ดังนั้น การเว้นระยะ พักโซเชียลบ้าง แล้วลุกไปทำกิจกรรมอื่นๆ ก็สามารถช่วยลดความเครียดได้มากอย่างไม่น่าเชื่อ การจัดสรรเวลาที่จะใช้ และจะพักการใช้โซเชียลเป็นสิ่งที่สำคัญมากในยุคนี้

 

ใจเย็นกว่านี้ ก็ดีนะ

หนุ่มสาวยุคนี้ อาจเคยชินกับการใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบเพราะการแข่งขันที่สูงขึ้นในทุกๆวัน แต่รู้หรือไม่ว่า วิถีชีวิตที่เร่งรีบนี้ ทำให้เกิดความเครียดสะสมได้มากโดยที่คุณอาจไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ซึ่งความเครียดเป็นศัตรูตัวร้ายของทั้งสุขภาพร่างกายที่จะเสื่อมโทรมลงโดยที่คุณไม่ได้ตั้งตัว และสุขภาพจิตที่ถูกบั่นทอน อาจทำให้มีความหงุดหงิดง่าย อารมณ์ร้อน ซึ่งอาจส่งผลเสียไปยังบุคคลรอบข้างอีกด้วย ดังนั้น การลองใช้ชีวิตให้ช้าลงบ้าง แบางเวลาเพื่อพักผ่อนให้เพียงพอ จะช่วยลดการเกิดความเครียดสะสมได้

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


บำรุงสุขภาพ ด้วยสารอาหารที่เหมาะกับคุณ

สารอาหารตัวไหน เกี่ยวข้องกับร่างกายยังไง 

มาดูกัน!!

 

ถูมิคุ้มกัน

ระบบภูมิคุ้มกัน

วิตามินซี

วิตามินซี (Vitamin C) แบ่งออกเป็น 2 ชนิดที่รู้จักกันดีคือ วิตามินซีจากธรรมชาติ และวิตามินซีสังเคราะห์ ซึ่งสามารถช่วยบำรุงสุขภาพ และเสริมประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้ทั้ง 2 ชนิด

ซิงค์ (Zinc)

หลายคนอาจรู้จักกับซิงค์ในฐานะตัวช่วยลดความมันบนใบหน้าหรือลดการเกิดสิว แต่ความจริงแล้วซิงค์มีประโยชน์มากกว่านั้น เพราะซิงค์ สามารถช่วยกระตุ้นการทำงานของ T-Cell ซึ่งเป็นเม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรคในร่างกายได้

 

บำรุงร่างกาย

บำรุงร่างกาย โดยรวม

วิตามินรวม (Multivitamins)

เป็นการนำวิตามินที่จำเป็นต่อการดูแลร่างกายขั้นพื้นฐานมารวมกัน เพื่อให้ร่างกายไม่ขาดสารเหล่านั้น เช่น วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินดี

 

เกลือแร่ (Minerals)

เป็นสารที่จำเป็นต่อร่างกายเช่นกัน เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม โครเมียม ซีลีเนียม

 

BCAAs (Branched Chain Amino Acids)

คือ กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ต้องได้จากการรับประทานอาหารเท่านั้น ซึ่งประกอบด้วย ลิวซีน (Leucine), ไอโซลิวซีน (Isoleucine) และวาลีน (Valine)

 

แคลเซียม (Calcium)

เป็นแร่ธาตุที่พบมากที่สุดในร่างกาย ช่วยดูแลร่างกายแบบองค์รวม ทั้งกระดูก สมอง เสริมภูมิคุ้มกัน และลดระดับไขมันในเลือด

 

สารสกัดจากใบแปะก๊วย (Ginko)

มีส่วนช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และเสริมประสิทธิภาพในการดูดซึมแคลเซียม

 

สมอง

บำรุงสมอง

น้ำมันปลา (Fish Oil)

มีสาร DHA ช่วยเสริมประสิทธิภาพในการจดจำและเสริมสร้างสมาธิ

 

วิตามินบี (Vitamin B)

ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาทและสมอง จึงมีส่วนช่วยในการคลายเครียดได้

 

ตา

บำรุงดวงตา

สารสกัดจากลูทีน (Lutein)

เป็นสารอาหารปกป้องดวงตา ช่วยปกป้องดวงตาจากแสงสีฟ้าได้

 

สารสกัดจากบิลเบอร์รี่ (Bilberry)

เพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น และชะลอความเสื่อมของดวงตาได้

 

แอสตาแซนธิน (Astaxanthin)

เป็นสารสีส้มแดงในกลุ่มแคโรทีนอยด์ แต่ต่างจากแคโรทีนอยด์อื่นๆคือ แอสตาแซนธินไม่สามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง ช่วยลดอาการตาล้าได้

 

บำรุงหัวใจ

บำรุงหัวใจ & หลอดเลือด

โคคิวเท็น (CoQ10)

เป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของเซลล์ในร่างกาย พบว่า 95% ของพลังงานที่ร่างกายมนุษย์สร้างขึ้ต้องใช้โคคิวเท็น โดยเฉพาะหัวใจ ซึ่งเป็นอวัยวะที่ต้องใช้พลังงานในการสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงทั่วร่างกาย โคคิวเท็นเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์แรง จึงช่วยลดความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ ช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้แก่เซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ จึงช่วยบำรุงระบบหัวใจและหลอดเลือดได้ นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงผิวพรรณและต่อต้านริ้วรอยอีกด้วย

 

น้ำมันปลา (Fish Oil)

ช่วยลดระดับไขมันในเลือด สาเหตุหลักของโรคหัวใจและหลอดเลือด

 

บำรุงผม

บำรุงผม & เล็บ

ซิงค์ (Zinc)

เป็นองค์ประกอบหลักของกระบวนการสร้างเส้นผมและเล็บที่แข็งแรง

 

ไบโอติน (Biotin)

คือวิตามินชนิดหนึ่งในตระกูลวิตามินบี (Vitamin B7) ช่วยบำรุงผมและเล็บให้แข็งแรง

 

บำรุงผิว

บำรุงผิว

คอลลาเจน (Collagen)

เป็นส่วนประกอบสำคัญของผิวหนัง ช่วยปกป้องริ้วรอยก่อนวัย และเพิ่มความชุ่มชิ้นให้ผิว

 

กลูต้าไธโอน (Glutathione)

กลูต้าไธโอน เป็นสารประเภทโปรตีนขนาดเล็ก มีหน้าที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระในเลือด จึงส่งเสริมการทำงานของสารต่อต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ เช่น วิตามินซี ทำให้วิตามินซีมีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีส่วนช่วยในการยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานิน ช่วยให้ผิวขาวใสอย่างเป็นธรรมชาติ

 

สารสกัดจากเบอร์รี่ (Berry extract)

เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ สามารถช่วยลดเลือนรอยฝ้า จุดด่างดำ และรอยหมองคล้ำต่างๆได้

 

อะเซโรร่าเชอร์รี่ (Acerola Cherry)

เป็นวิตามินซีจากธรรมชาติ ช่วยเสริมสร้างกระบวนการผลิตคอลลาเจน และต่อต้านอนุมูลสระ เพื่อผิวพรรณที่สดใส

 

บำรุงกระดูก

บำรุงกระดูก & ข้อต่อ

แคลเซียม (Calcium)

มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างกระดูกและฟัน

 

โบรอน (Boron)

ช่วยเสริมประสิทธิภาพในการดูดซึมแคลเซียม

 

คอลลาเจน ชนิดที่ 2 (Collagen Type II)

คอลลาเจนเป็นสารที่พบในสัตว์ เนื่อเยื่อเกี่ยวพัน เส้นเอ็น ผิวหนัง ข้อต่อ และกระดูกอ่อน โดยคอลลาเจนมี 28 ชนิด แต่ชนิดที่สำคัญในการสร้างเว้นใยและพบมากมี 5 ชนิดคือ

  1. Collagen I (ชนิดที่ 1) เป็นคอลลาเจนที่พบมากที่สุด 90% ของทั้งหมด พบที่ผิวหนัง เอ็น กระดูก ผนังหลอดเลือด
  2. Collagen II (ชนิดที่ 2) พบที่กระดูกอ่อน วุ้นในตา
  3. Collagen III (ชนิดที่ 3) พบที่ผนังเส้นเลือด เนื้อเยื่อที่สร้างใหม่ ผิวหนัง มดลูก ลำไส้
  4. Collagen V (ชนิดที่ 4) พบที่ผม รก ผิวเซลล์
  5. Collagen XI (ชนิดที่ 5) พบที่กระดูกอ่อน วุ้นในตา

โดยคอลลาเจนที่เป็นส่วนประกอบที่สำคัญบริเวณข้อต่อ คือ คอลลาเจนชนิดที่ 2 (Collagen II) ซึ่งพบมากในกระดูกอ่อน มีหน้าที่ช่วยลดการเสียดสีและกระแทกระหว่างกระดูก ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมกระดูกอ่อน

 

สารสกัดจากขมิ้น (Turmeric Extract)

สารสำคัญในขมิ้นเป็นสารสีเหลืองชื่อว่าเคอร์คูมิน (Curcumin) มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันความเสื่อมของเซลล์ และยังสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดข้อต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

กลูโคซามิน (Glucosamine)

ช่วยเพิ่มน้ำหล่อเลี้ยงระหว่างข้อ และฟื้นฟูกระดูกอ่อน

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


กว่าจะเติม แคลเซียม เต็ม 1,200 มิลลิกรัม ต้องกินอะไรบ้าง ??

วันนี้คุณได้รับ... แคลเซียม

เพียงพอแล้วหรือยัง ?

 

ก่อนอื่นต้องมาเช็คกันก่อนว่าวัยของคุณ ต้องการ แคลเซียม มากแค่ไหน ?? เพราะคนแต่ละช่วงวัยมีความต้องการแคลเซียมในปริมาณที่ไม่เท่ากัน

  • อายุตั้งแต่ 1 ถึง 30 ปี ต้องการแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลกรัม เพราะร่างกายยังสามารถดูดซึมแคลเซียมและเก็บสะสมไว้ได้ดีอยู่
  • อายุ 30 ปีขึ้นไป ต้องการแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลิกรัม ร่างกายในวัยนี้หยุดเก็บแคลเซียมแล้ว ดังนั้น เราต้องเติมแคลเซียมให้กับร่างกายอยู่ตลอดห้ามขาด
  • อายุ 50 ปี (วัยทอง) ต้องการแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลิกรัม
  • อายุ 50 ปีขึ้นไปและคุณแม่ตั้งครรภ์ ต้องการแคลเซียมวันละ 1,200 มิลลิกรัม

โดยอาหารที่จะแนะนำต่อไปนี้ จะทำให้คุณได้รับแคลเซียม 1,200 มิลลิกรัม

 

แคลเซียมในนม

ต้องดื่มนม 6.6 แก้ว เพื่อ แคลเซียม ที่เพียงพอ

สิ่งที่เป็นแหล่งแคลเซียมที่คนส่วนใหญ่รู้จักมากที่สุด น่าจะเป็น นม ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่นมวัวเป็นแหล่งแคลเซียมที่ดีต่อร่างกาย ทำให้คนไทยได้รับการรณรงค์ให้ดื่มนมกันมานาน แต่รู้หรือไม่ว่า คุณอาจต้องดื่มนมถึงวันละ 6.6 แก้ว เพื่อแลกกับปริมาณแคลเซียมที่เพียงพอต่อหนึ่งวัน ในทางกลับกัน นมอาจไม่ได้มีแต่ข้อดีเสมอไป เพราะนมอาจไม่ได้เหมาะกับร่างกายของทุกๆคน เพราะพบว่าบางคนไม่สามารถดื่มนมที่มาจากสัตว์ได้ โดยจะมีอาการแยกออกเป็น 2 ประเภท คือ

1. แบบที่ไม่สามารถย่อยน้ำตาลแล็กโทส (Lactose) ในนมได้

เพราะว่าร่างกายของคนๆนั้นไม่มีเอนไซม์แล็กเทส (Lactase Deficiency) ที่ใช้สำหรับย่อยน้ำตาลแล็กโทส ดังนั้น เมื่อคนที่ร่างกายไม่มีน้ำย่อยที่สามารถย่อยน้ำตาลแล็กโทสดื่มนมเข้าไป ก็จะไม่เกิดการย่อย และแน่นอนว่าเมื่อย่อยไม่ได้ ก็จะเกิดผลเสียต่อสุขภาพตามมา โดยจะเกดอาการต่อระบบทางเดินอาหารหลังดื่มนม ภายใน 2 ชั่วโมงหลังดื่มนมหรือแม้แต่การกินผลิตภัรฑ์ที่มีส่วนผสมเกี่ยวกับนมก็อาจทำให้เกิดอาการได้เช่นกัน เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเสีย ปวดท้อง หรือรู้สึกไม้สบายท้อง แก๊สในช่องท้องมาก ผายลมบ่อย ซึ่งอาการจะแสดงออกมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับปริมาณของน้ำตาลแล็กโทสที่กินเข้าไป

สิ่งที่น่าตกใจคือ มีการพบว่า ประชากรบนโลกมากถึง 70% มีภาวะพร่องเอนไซม์แล็กเทสในวัยผู้ใหญ่ หมายความว่า มีผู้ใหญ่จำนวนมากที่มีอาการแพ้นม โดยเฉพาะคนเอเชีย มีอัตราการย่อยนมวัวไม่ได้สูงถึง 90% หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กินนมแล้วเกิดอาการท้องเสียทุกที แสดงว่า ร่างกายของคุณไม่สามารถย่อยน้ำตาลในนมได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ไม่ดีต่อระบบย่อยอาหารและลำไส้ของคุณแน่นอน แต่ปัจจุบันยังโชคดีที่มีผู้ผลิตนมมากมาย เริ่มผลิตนมวัวสูตรปราศจากน้ำตาลแล็กโทสออกมาเพื่อเป็นทางเลือกให้กับคนที่แพ้นมในดื่มนมวัวกันแล้ว แต่หากใครไม่ชอบดื่มนมวัว ก็ยังสามารถได้แคลเซียมจากการรับประทานอาหารอื่นๆอีกหลายชนิด

2. แบบแพ้โปรตีนในนม (Cow's Milk Allergy)

โดยจะเกิดจากภูมิคุ้มกันรางกายที่ตอบสนองต่อโปรตีนบางชนิดที่พบในนมบ่อยๆ เช่น แพ้โปรตีนเคซีน (Casein) ในนม ซึ่งเป็นโปรตีนที่พบมากในนมวัว โดยมีสัดส่วนสูงมากถึง 80% มักจับตัวเป็นก้อนและย่อยยาก และยังมีการพบโปรตีนประเภทอื่นๆในนม เช่น แพ้แอลฟา-แล็กตัลบูมิน และแพ้บีตา-แล็กโทโกลบูลิน ซึ่งจะทำให้เกิดสารที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาการแพ้ในร่างกายอย่างฮีลตามีน (Histamine) ทำให้เกิดอาการแพ้ทั้งระบบผิวหนัง เช่น อาการลมพิษ วิงเวียนศีรษะ ความดันโลหิตต่ำ

 

แคลเซียม

ไข่ 66.6 ฟอง

ไข่ไก่ เป็นอีกอาหารอีกอย่างที่เรียกได้ว่าต้องอยู่คู่ครัว รับประทานกันตั้งแต่เด็กจนโต โดยเราอาจต้องรับประทานไข่ไก่ถึง 66.6 ฟอง ถึงจะได้รับแคลเซียมเพียงพอ

 

งาดำ

งาดำ 9 ช้อน

สำหรับคนที่ชอบรับประทานงาดำจะรู้ดีว่า งาดำมีประโยชน์หลายอย่าง รวมถึงมีแคลเซียมสูงอีกด้วย

 

แคลเซียม

ปลาเล็ก ปลาน้อย 14 ช้อน

อาหารว่างเล็กๆน้อยๆอย่างปลาเล็ก ปลาน้อย ก็มีแคลเซียมสูงไม่แพ้กัน เพราะปลาเล็กปลาน้อยมีข้อดีคือ สามารถรับประทานได้ทั้งตัว ทำให้เราได้รับแคลเซียมได้มากขึ้น

 

บร็อคโคลี

บร็อคโคลี 4.2 หัว

มาถึงผักกันบ้าง หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า ผักต่างๆก็มีแคลเซียมเช่นกัน อย่างบร็อคโคลี 4.2 หัว ก็ให้ปริมาณแคลเซียมที่เพียงพอต่อร่างกายได้เช่นกัน

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


ประโยชน์ของ ซิงค์ (Zinc) ที่คุณต้องการเล็กน้อย แต่ก็ขาดไม่ได้

ซิงค์ หรือ สังกะสี (Zinc)

ซิงค์ เป็นแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการ แต่ต้องการในปริมาณเพียงเล็กน้อย หากเราสามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ ร่างกายของเรามักจะไม่ขาดแร่ธาตุสังกะสีนี้ แต่อาจมีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้ร่างกายของเราได้รับซิงค์ไม่เพียงพอ เช่น ผู้ป่วยเป็นโรคลำไส้อักเสบ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือผู้ที่ทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่เป็นประจำก็อาจทำให้ร่างกายขาดซิงค์ได้ การใช้ชีวิตประจำวันบางอย่างก็อาจส่งผลให้ร่างกายขาดซิงค์ได้เช่นกัน เช่น ผู้ที่ดื่มเหล้าเป็นประจำ หรือผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก อาจรับประทานอาหารน้อยกว่าที่ร่างกายต้องการ ทำให้ขาดซิงก์ได้

ถึงแม้ร่างกายจะต้องการซิงค์ในปริมาณเพียงเล็กน้อย แต่ซิงค์ก็มีประโยชน์ต่อร่างกายมาก ดังนั้น จึงเป็นแร่ธาตุที่ร่างกายขาดไม่ได้เช่นกัน

(คลิ้กเพื่ออ่าน >> ข้อมูลเกี่ยวกับซิงค์เพิ่มเติม)

 

ซิงค์

ซิงค์ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้เราแข็งแรงอยู่เสมอ

ซิงค์ เป็นสารที่มีส่วนช่วยในการสังเคราะห์โปรตีนและเอนไซม์ต่างๆ ซึ่งจำเป็นต่อโครงสร้างและการทำงานของเอนไซม์กว่า 300 ตัว เอนไซม์ที่มีสังกะสีประกอบ จึงมีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการในเด็กวัยกำลังเจริญเติบโต ฉะนั้น เด็กๆควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่อย่างเหมาะสม เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหาร แร่ธาตุอย่างเพียงพอ รวมถึงซิงค์ด้วย เพื่อพัฒนาการและการเจริญเติบโตที่สมวัย

นอกจากนี้ ซิงค์ยังช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันและลดการติดเชื้อทางเดินอาหารและทางเดินหายใจได้ ส่วนในกรณีเป็นหวัด ซิงค์ สามารถช่วยบรรเทาอาการหวัด ช่วยให้หวัดหายเร็วขึ้นได้อีกด้วย

ซิงค์ กับ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน

ซิงค์ ช่วยในการทำงานของอินซูลิน และป้องกันการถูกทำลายจากอนุมูลอิสระซึ่งมีมากในผู้ป่วยโรคเบาหวาน

 

Zinc

ซิงค์ช่วยลดสิว เผยผิวสวย บำรุงผมและเล็บให้สุขภาพดี

แร่ธาตุซิงค์จำเป็นต่อการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนัง ผม เล็บ จึงมีส่วนช่วยในการสมานแผล รักาาแผลต่างๆให้หายเร็วมากยิ่งขึ้น สามารถช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และต้านการอักเสบได้ดี ดังนั้น ปัญหาผิวที่ทำให้ผิวเกิดการอักเสบ เช่น ปัญหาสิว รอยแผลเป็นจากการเป็นสิว ก็สามารถสมานให้หายได้ดีขึ้นด้วยการมีแร่ธาตุซิงค์ที่เพียงพอในร่างกาย

นอกจากนี้ซิงค์ยังช่วยลดความดันโลหิตสูง หลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบ กระตุ้นการส้รางเนื้อกระดูก ลดการสลายของกระดูกอีกด้วยม

 

ซิงค์

ซิงค์เพื่อนซี้คุณผู้ชาย หลากหลายคุณประโยชน์

ซิงค์ มีส่วนช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง เมื่อร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงแล้วก็ส่งผลให้สุขภาพโดยรวมมีความสมบูรณ์ ซึ่งซิงค์มีความจำเป็นต่อการทำงานของต่อมลูกหมากด้วย

 

ซิงค์

เมื่อร่างกายขาดซิงค์

การขากซิงค์ พบได้ทั้งในเด็กทั้งประเทศที่พฒนาแล้วและกำลังพัฒนา ดังนั้น มีเด็กจำนวนไม่น้อยที่ร่างกายขาดซิงค์ และซิงค์ยังมีผลต่อการผลิตน้ำนมของแม่อีกด้วย ดังนั้น หากร่างกายของคุณแม่ขาดซิงค์ ก็อาจทำให้กระบวนการผลิตน้ำนมไม่สมบูรณ์

อาการเมื่อร่างกายขาดซิงค์เป็นเวลานาน

✖ ทำให้เด็กมีพฒนาการเจริญเติบโตของร่างกายที่ช้า ทำให้เด็กตัวเล็ก

✖ ผิวหนังมีการอักเสบเป็นผื่นแดง ระยะแรกจะเป็นรอบปากและลามไปที่แขนขา และพุพอง

✖ ทำให้การรับรู้รสชาติน้อยลง อาจมีอาการเบื่ออาหาร

✖ อาจทำให้ผมร่วง ผมแห้งแตกปลาย เล็บเปราะ เล็บเป็นจุดขาว และทำให้ผิวแห้ง

✖ มีอาการตาฟาง ตาบอดกลางคืนเหมือนการขาดวิตามินเอ

✖ แผลหายช้า

✖ ภูมิต้านทานลดต่ำลง

✖ เมื่อร่างกายมีแร่ธาตุซิงค์ต่ำ อาจส่งผลให้ความดันโลหิตสูง ซึ่งเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคเบาหวาน

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm