สาระน่ารู้
ภูมิคุ้มกัน ดี เหมือนมีบอดี้การ์ดส่วนตัว
ร่างกายของเรามาพร้อมกับพลังปกป้องที่ทำให้ร่างกายพ้นจากการคุกคามของสิ่งรอบข้าง และยังมีพลังในการบำบัดรักษาตัวเองได้ ซึ่งพลังนี้เรียกว่า
" พลังภูมิคุ้มกัน "
หน้าที่หลักของ ภูมิคุ้มกัน
หน้าที่ของระบบภูมิคุ้มกัน คือ การปกป้องร่างกายจากการติดเชื้อ การดูแลรักษาสุขภาพ และการป้องกันโรคและความเสื่อมถอย ซึ่งจริงๆคือการป้องกันร่างกายจากอาการเจ็บป่วยทางร่างกาย การเจ็บป่วยทางจิต รวมถึงโรคมะเร็งที่เกิดจากกลายของเซลล์ (mutation) นั่นเอง
การทำงานของระบบ ภูมิคุ้มกัน
- ป้องกันการติดเชื้อ จากเชื้อไวรัสที่ก้อโรค เช่น ไข้หวัดใหญ่ และแบคทีเรียก่อโรค
- ดูแลสุขภาพ ช่วยให้ร่างกายฟื้นจากอาการอ่อนเพลียหรือเจ็บป่วยและความเครียด เสริมสร้างให้ร่างกายแข็งแรง
- ป้องกันความเสื่อมถอย เสริมสร้างเมแทบอลิซึมให้สมบูรณ์ ช่วยให้ส่วนต่างๆในร่างกายทำงานได้ดี ป้องกันความเสื่อมถอยของโครงสร้างต่างๆ ภายในเซลล์
เมื่อภูมิคุ้มกันสูงขึ้น
✔ ยับยั้งการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง โดยการทำลายเซลล์มะเร็งกว่าวันละ 5,000 เซลล์ที่ก่อตัวขึ้น
✔ ป้องกันอาการเจ็บป่วยทางจิต เช่น โรคซึมเศร้า เพราะแบคทีเรียในลำไส้ส่งสารแห่งความสุขไปยังสมองได้
เมื่อสมดุลของภูมิคุ้มกันเสียไป
✖ ก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยจากภูมิแพ้ เช่น ผิวหนังผื่นแพ้ หอบหืด แพ้ละอองดอกไม้หรือไข้ละอองฟาง
✖ ก่อให้เกิดการเจ็บป่วยจากภาวะภูมิคุ้มกันต้านตนเอง ก่อให้เกิดการเจ็บป่วยจากการทำลายเนื้อเยื่อในร่างกายด้วยภูมิคุ้มกันของตัวเอง
"ลำไส้ดี" มีผลต่อภุมิคุ้มกัน
รู้หรือไม่ ?? เซลล์ที่เกี่ยวข้องกับภุมิคุ้มกันส่วนใหญ่อยู่ที่เยื่อบุลำไส้ เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
การเพิ่มการทำงานของแบคทีเรียในลำไส้
✔ รับประทานอาหารประเภทธัญพืช พืชผัก ถั่ว ผลไม้
✔ รับประทานอาหารประเภทหมักดองในปริมาณที่เหมาะสม
✔ รับประทานอาหารที่มีเยื่อใยและน้ำตาลโอลิโกแซ็กคาไรด์
✔ หลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูปหรืออาหารที่มีสารปรุงแต่ง
✔ เคี้ยงอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน
✔ ออกกำลังกายพอเหมาะ
ภูมิคุ้มกันดี "วิตามินซี" ช่วยได้
วิตามินซี ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย สร้างเม็ดเลือดขาว จึงสามารถป้องกันการเป็นหวัดได้ รวมถึงเมื่อร่างกายมีโรคหวัด การรับประทานวิตามินซีก็สามารถช่วยลดระยะเวลาในการเจ็บป่วยให้น้อยลงได้
(คลิกเพื่ออ่าน >> อาการเมื่อร่างกายขาดวิตามินซี)
ความเครียด ทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง
อีกหนึ่งสิ่งที่หลายคนอาจมองข้าม คือ "ความเครียด" เพราะความเครียด กระตุ้นร่างกายใน 2 ทาง ทางหนึ่งคือกระตุ้นผ่านระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งตอบสนองอย่างฉับพลันต่อความเครียด ส่งผลให้มีการหลังอะดรีนาลินซึ่งทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง และอีกทางหนึ่งคือ การตอบสนองของไฮโปทาลามัส-ต่อมใต้สมอง-ต่อมหมวกไต ทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลงเช่นกัน พูดง่ายๆคือ เมื่อมีความเครียดมาก พลังภูมิคุ้มกันจะลดลงนั่นเอง
ทำแบบนี้ดีต่อระบบ ภูมิคุ้มกัน
การเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่ดีนั้น เรียกได้ว่าต้องเสริมทั้งจากการรับประทานและจิตใจที่ดี เพราะสภาพจิตใจก็มีผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน เพราะปริมาณฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับประสาทอัตโนมัติมีอิทธิพลต่อระบบภูมิคุ้มกัน
✔ รับประทานอาหารประเภทธัญพืช พืชผัก ถั่ว ผลไม้
✔ รับประทานอาหารประเภทผ่านการหมักดอง เช่น นัตโต กิมจิ โยเกิร์ต
✔ รับประทานอาหารที่มีเยื่อใย น้ำตาล โอลิโกแว็กคาไรด์ (Oligosaccharide) หรือสารประเภทน้ำตาล
✔ พยายามหลีกเลี่ยงอาหารประเภทที่มีสารปรุงแต่ง เช่น สารกันบูด
✔ เสริมสร้างความคิดเชิงสร้างสรรค์
✔ สัมผัสกับธรรมชาติให้มากขึ้น
✔ ออกกำลังกายอย่างพอเหมาะ
✔ หลีกเลี่ยงความเครียดต่างๆ
✔ ยิ้มและหัวเราะให้มากขึ้น
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm
5 วิธี ล้างผัก สะอาด เพื่อสุขภาพที่ดีในทุกๆมื้อ
มือใหม่หัดปรุงต้องรู้!
5 วิธี ล้างผัก ให้สะอาดปลอดภัยอย่างง่ายๆ
เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าการรับประทานนั้นสำคัญมากๆสำหรับสุขภาพที่ดี ในทุกๆมื้อหลักควรมีสารอาหารครบ 5 หมู่ และแน่นอนว่าสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ ผักผลไม้ต่างๆ เพราะมีวิตามินและเกลือแร่ รวมถึงไฟเบอร์ที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างมาก ดังนั้นสิ่งที่เรามักได้ยินกันบ่อยๆก็คือ กินผักเยอะๆแล้วจะดี แต่อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่หลายคนอาจมองข้ามก็คือ ความสะอาดของผักผลไม้ที่เรารับประทานเข้าไป
เพราะสมัยนี้การเพาะปลูกผักและผลไม้ อาจมีการใช้สารเคมีในการกำจัดแมลงทำให้มีสารตกค้างอยู่บนผักและผลไม้ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายและมีการสะสมในร่างกายได้ ดังนั้น เราควรให้ความสำคัญกับการล้างทำความสะอาดสิ่งสกปรกและสารตกค้างให้มากที่สุด มีหลากลหายวิธีล้างผักสุดแสนจะง่าย ที่คุณสามารถหยิบจับสารต่างๆที่มีภายในบ้านมาช่วยล้างผักผลไม้ให้สะอาดได้
1. ใช้โซเดียมไบคาร์บอเนต (ผงฟู)
ใช้ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำอุ่น 20 ลิตร แช่ไว้ 15 นาที และล้างด้วยน้ำสะอาดปริมาณม
ลดปริมาณสารพิษ 90-95%
2. ใช้น้ำส้มสายชู
กรดน้ำส้มความเข้มข้นร้อยละ
ลดปริมาณสารพิษ 60-84 %
3. ใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์
1 ช้อนชา ผสมน้ำ 4 ลิตร แช่ไว้ 10 นาที และล้างด้วยน้ำสะอาดปริมาณม
ลดปริมาณสารพิษ 35-50 %
4. ใช้ด่างทับทิม
20-30 เกร็ด ผสมน้ำ 4 ลิตร แช่ไว้ 10 นาที และล้างด้วยน้ำสะอาดปริมาณม
ลดปริมาณสารพิษ 35-43 %
5. ใช้เกลือป่น
1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 4 ลิตร แช่ไว้ 10 นาที และล้างด้วยน้ำสะอาดปริมาณม
ลดปริมาณสารพิษ 27-38 %
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm
พักผ่อน ยังไง ให้สบายกาย สบายใจ สบายตา
" พักผ่อน "
ทั้งที ต้องพักให้สบายทั้งกายและใจ
การ พักผ่อน นั้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคน ถึงแม้ว่าแต่ละช่วงวัยจะมีความต้องการในการพักผ่อนที่แตกต่างกัน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกๆคนก็จำเป็นช่วงเวลาที่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เพื่อให้ร่างกายได้พัก ฟื้นฟู พร้อมที่จะทำกิจกรรมอื่นๆต่อไป โดยการพักผ่อน ไม่จำเป็นต้องหมายถึงการนอนหลับเพียงอย่างเดียวนะคะ คุณสามารถพักผ่อนได้ด้วยการใช้ช่วงเวลาดีๆ ผ่อนคลาย ทำให้ร่างกายและจิดตใจรู้สึกสบาย
แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ร่างกายนะคะที่ต้องการการพักผ่อน แต่จิตใจก็มีผลต่อสุขภาพโดยรวม ต้องการการพักผ่อนเช่าเดียวกัน ซึ่งการพักผ่อนจิตใจ ทำใจให้สบายนั้นเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่มักมองข้ามไป วันนี้เราจะพามาดูวิธีพักผ่อนที่ทำให้คุณได้พักทั้งกายและใจค่ะ
1. ปล่อยใจให้สบาย ทิ้งเรื่องงานไว้ที่ออฟฟิศ
การที่คุณจะพักผ่อนได้ ไม่ใช่การหอบพาร่างหายไปในที่สบายๆ แต่ต้องทิ้งเรื่องงาน เรื่องไม่สบายใจไว้ข้างหลังด้วย เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณจะพาไป พักผ่อน ก็คือ ร่างกายบวกกับจิตใจที่สบาย ไม่เครียด ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นการพักผ่อนให้สบายทั้งกายและใจที่แท้จริง
หลายคนอาจรู้สึกว่างานเป็นส่วนสำคัญที่สุดในชีวิตช่วงหนึ่งๆ แต่ความจริงแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดอาจเป็น สุขภาพร่างกาย และสุขภาพจิตใจที่ดีต่างหาก เพราะถ้าหากคุณไม่มีร่างกายที่แข็งแรงและจิตใจที่พร้อมทำงาน คุณก็อาจไม่สามารถโฟกัสกับงานที่ทำได้เลย ดังนั้น การแบ่งเวลาที่เหมาะสม และเห็นความสำคัญของการพักผ่อน เป็นส่วนที่สำคัญของการทำงานเช่นเดียวกับการลงมือทำเลยล่ะ
วิธีง่ายๆ คือ คุณอาจแบ่งเวลาที่แน่นอน หรือกำหนดกิจวัตรประจำวัน ประจำสัปดาห์ ประจำเดือนไว้ว่า คุณจะต้องหาเวลาเพื่อพักผ่อนทั้งหมดกี่ครั้งใน 1 สัปดาห์ เพื่อให้มั่นใจได้ว่า อย่างน้อยๆคุณจะมีโอกาสได้พักชาร์จพลังบ้างในรอบ 7 วันที่ทำงานมาอย่างหนัก ควรมีสัก 1 วันที่คุณได้พักผ่อน ให้รางวัลตัวเอง และให้ร่างกายกับสภาพจิตใจได้ฟื้นฟูบ้าง
2. การ พักผ่อน โดยการนอนหลับ
การนอนหลับ เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆในการมีสุขภาพที่ดี โดยมูลนิธิการนอนหลับแห่งชาติ ในสหรัฐอเมริกาเคยให้ข้อมูลเกี่ยวกับการนอนหลับที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัยไว้ ดังนี้
- เด็กแรกเกิด (อายุ 0-3 เดือน) ควรนอน 14-17 ชั่วโมงต่อวัน
- เด็กทารก (อายุ 4-11เดือน) ควรนอน 12-15 ชั่วโมง
- เด็ก (อายุ 1-2 ปปี) ควรนอน 11-14 ชั่วโมง
- วัยอนุบาล (3-5 ปี) ควรนอน 10-13 ชั่วโมง
- วัยประถม (6-13 ปี) ควรนอน 9-11 ชั่วโมง
- วัยมัธยม (14-17 ปี) ควรนอน 8-10 ชั่วโมง
- วัยรุ่น (18-25 ปี): ควรนอน 7-9 ชั่วโมง
- วัยทำงาน (26-64 ปี): ควรนอน 7-9 ชั่วโมง เท่ากับตอนวัยรุ่น
- วัยชรา (65 ปีขึ้นไป) ควรนอน 7-8 ชั่วโมง
นอนให้ครบชั่วโมงยังไม่พอ เพราะต้องสำรวจด้วยว่าการนอนของคุณนั้นมีประสิทธิภาพมากพอหรือไม่ ? การนอนที่มีประสิทธิภาพ คือการนอนหลับสนิท ซึ่งมาจากหลายปัจจัย ที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คงหนีไม่พ้นเรื่องแสงและเสียงที่รบกวนการนอนนั่นเอง สภาพแวดล้อมในการนอนมีความสำคัญอย่างมากที่จะช่วยให้คุณนอนหลับได้อย่างสนิท บางคนอาจรู้สึกสงสัยที่ตัวเองนอนมากถึง 8 ชั่วโมงแล้ว แต่ก็ยังตื่นขึ้นมาพร้อมความรู้สึกเหนื่อยเพลียเหมือนพักผ่อนไม่เพียงพอ ลองเช็คดูว่าคุณนอนในที่ๆยังมีแสง เช่น เปิดไฟ เปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้หรือไม่ ถึงแม้คุณจะรู้สึกว่าตัวเองหลับแล้วในขณะที่โทรทัศน์ยังเปิด แต่จริงๆแล้วสมองของคุณอาจยังไม่ได้พักผ่อนเลย เพราะมีการรบกวนจากแสงและเสียงจากโทรทัศน์นั่นเอง ดังนั้น ก่อนที่จะตั้งใจนอนให้ครบชั่วโมงที่เหมาะกับตัวเอง อย่าลืมที่จะปรับเปลี่ยนสภาพของสถานที่นอนให้เหมาะสมด้วย เช่น นอนในห้องมืดสนิท และเงียบพอที่จะให้คุณนอนหลับสนิทได้จริงๆ
3. กินดีทุกมื้อ สารอาหารต้องเต็มทุกคำ
นอกจากการนอนแล้ว บางคนอาจรู้สึกว่าได้พักผ่อนเมื่อได้รับประทานอาหารที่ชอบ ซึ่งก็ไม่ได้แปลกอะไร เพราะคนจำนวนไม่น้อยก็เอ่ยปากว่า "มีความสุข" เมื่อได้รับประทานของที่ชอบ ดังนั้น เมื่อได้โอกาสพักผ่อนแล้ว ก็อย่าลืมที่จะหาของโปรดมาเติมเต็มความสุขกันด้วย แต่อย่าลืมว่า ของโปรดในวันพักผ่อนจะดีได้ถ้าเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายด้วยนะคะ
นอกจากอาหารมื้อหลักแล้ว ลองเพิ่มน้ำผลไม้หรือเมนูผลไม้เพิ่มความสดชื่นให้วันหยุดพักผ่อนมีสีสันขึ้นมา แถมยังได้ประโยชน์มากมายจากผลไม้นานาชนิด รับวิตามินจากธรรมชาติให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น
4. ร่างกายไปพักร้อน ใส่แว่นกันแดดให้น้องตาด้วย
ถ้าคุณเป็นหนึ่งคนที่ชอบไปพักร้อนรับซัมเมอร์ เจอแดดอันร้อนแรง อย่าลืมที่จะดูแลดวงตาของคุณ ด้วยการสวมแว่นกันแดดด้วยนะคะ เพราะนอกจากรังสียูวีจะทำร้ายผิวของคุณได้แล้ว มันก็ทำร้ายดวงตาของคุณได้เช่นกัน ดังนั้น ควรถนอมสายตา เพื่อให้ดวงตารู้สึกสบาย ไม่ต้องเผชิญแสงแดดที่ทำร้าย
5. ใช้ตาหนัก พักซะหน่อย
8 ชั่วโมงการทำงานของทุกคน ในทุกๆวัน มีอวัยวะหนึ่งที่จำเป็นต้องทำงานอย่างหนักตลอดเวลา คือ ดวงตา ทั้งอ่านหนังสือ จ้องคอมพิวเตอร์ ไหนจะต้องเล่นโซเชี่ยลผ่านอุปกรณ์สมาร์ทโฟนต่างๆอีก นับรวมๆกันแล้ว ดวงตาต้องรับบทหนักมากกว่าวันละ 10 ชั่วโมงแน่นอน ดังนั้น พักร่างกาย พักใจแล้ว ก็อย่าลืมที่จะหาวิธีพักสายตาอยู่เสมอ โดยการพักสายตาง่ายๆที่ไม่ใช่การนอนหลับเพียงอย่างเดียว ก็มีการมองไปพื้นที่สัเขียวสบายตา เช่น ต้นไม้ สวน ทุ่งหญ้า จะช่วยทำให้สายตาเกร็งน้อยลง ทำให้รู้สึกสบายตามากขึ้น หรือจะดูแลเป็นพิเศษขึ้นมาอีกนิดโดยการใช้เจลประคบตาที่มีความเย็นเล็กน้อยประคบที่ดวงตา จะทำให้คุณรู้สึกได้ถึงความสบายและผ่อนคลายได้ไม่ยาก
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm
สุขภาพดี คุณก็สร้างได้ แม้ไม่ใช่สายเฮลท์ตี้
แน่นอนว่าใครๆก็คงอยากมี สุขภาพดี มาลองเช็คพฤติกรรมกันก่อนว่า
ชีวิตประจำวันของคุณใช่สายเฮลตี้หรือไม่ ?
✔ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ รวมถึงผักผลไม้เป็นประจำ
✔ นอนพักผ่อนอย่างเพียงพอ วันละ 6-8 ชั่วโมง
✔ งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
✔ ออกกำลังกายสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
✔ ดื่มน้ำสะอาดวันละ 8 แก้ว
มีครบทุกข้อพอจะเป็นสายเฮลตี้ได้บ้างมั้ย ?? ถ้าทำไม่ได้ ก็ต้องหาตัวช่วยดีๆ เพิ่มความเฮลตี้กันแล้วนะคะ
วิตามิน คืออะไร ?
วิตามิน คือ สารที่มีอยู่ในร่างกายของคนเราอยู่แล้ว และเป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกายที่ขาดไม่ได้ ถ้าร่างกายขาดวิตามินจะมีอาการผิดปกติขึ้นกับร่างกายแสดงออกมาให้เห็นทันที เช่น มีเลือดออกตามไรฟัน เป็นอาการของการขาดวิตามินซีในร่างกาย หรือมีอาการเล็บเปราะหักง่าย เกิดจากขาดไบโอติน ดังนั้น เมื่อร่างกายมีอาการผิดปกติต่างๆเกิดขึ้น อาจใช้วิธีการตรวจเลือดเพื่อหาสาเหตุของการขาดวิตามินได้ เพื่อทำการรับประทานวิตามินเสริมเข้าไป
ร่างกายของมนุษย์จำเป็นต้องมีสารต่างๆประกอบอยู่ในร่างกาย เช่น โปรตีน น้ำตาล วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ดังนั้น การได้รับวิตามินที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายจึงเป็นที่จำเป็นมากๆ เพราะวิตามินสามารถช่วยบำรุงและฟื้นฟูสุขภาพ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับและไต ต่างกับการใช้ยาที่หากใช้ติดต่อกันเป็นประจำ อาจส่งผลเสียต่อตับและตาหรือร่างกายในส่วนอื่นๆได้
วิตามินสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ
- วิตามินที่ละลายในน้ำ ได้แก่ วิตามินบี 1 บี 2 บี 3 บี 5 บี 6 บี 7 บี 9 บี 12 และวิตามินซี โดยวิตามินชนิดนี้จะสามารถอยู่ในร่างกายได้ 2-4 ชั่วโมง ส่วนที่เหลือจากการดูดซึมไปใช้งานก็จะถูกขับออกทางไต โดยการปัสสาวะนั่นเอง ดังนั้น วิตามินชนิดที่ละลายในน้ำ จะมีโอกาสสะสมในร่างกายน้อยมาก จึงไม่ค่อยมีผลข้างเคียง
- วิตามินที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค ซึ่งจะละลายได้ในไขมันเพื่อดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย จึงไม่สามารถขับออกทางปัสสาวะได้ หากได้รับวิตามินเหล่านี้มากเกินไป อาจเก็บสะสมไว้ในร่างกายได้ ผูที่รับประทานวิตามินชนิดนี้จึงควรมีช่วงที่หยุดรับประทานบ้าง เพื่อไม้ให้เกิดการสะสมในร่างกายมากจนเกินไป
วิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายบางชนิดตวรได้รับทุกวัน เช่น วิตามินซี (คลิ้กเพื่ออ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิตามินซี) และวิตามินบี ซึ่งเป็นวิตามินชนิดที่ละลายในน้ำ หลังจากดูดซึมไปใช้งานแล้ว จะถูกกำจัดออกทางปัสสาวะ ไม่สะสมในร่างกาย จึงสามารถรับประทานเป็นประจำทุกวันได้อย่างปลอดภัย
ถ้างานมันโหด ต้องโด๊บให้หนักด้วยวิตามินบีรวม เพื่อ สุขภาพดี
งานหนัก พักผ่อนน้อย เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพมากมาย โดยเฉพาะสมองและระบบประสาทนั้นจะได้รับผลกระทบอย่างรวดเร็ว ทั้งเบลอ ทั้งมึน แบบนี้ก็คงทำงานต่อไม่ได้แน่ๆ ดังนั้น มาบำรุงระบบประสาทกันสักหน่อยด้วยวิตามินบีรวม ประกอบด้วย
วิตามินบี 1 หรือไทอามีน (Thiamine) เป็นวิตามินที่ช่วยรักษาโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาท ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ แถมยังช่วยในการเผาผลาญอาหารอีกด้วย
วิตามินบี 2 หรือไรโบฟลาวิน (Riboflavin) ช่วยให้ร่างกายได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต ไขมันและโปรตีน ช่วยในการเจริญเติบโต การสร้างเส้นผม ผิวหนัง เล็บ และช่วยให้ผิว สุขภาพดี
วิตามินบี 3 หรือไนอะซิน (Niacin) ช่วยลดคลอเลสเตอรอล ควบคุมน้ำตาลในเลือด ช่วยในการไหลเวียนของเลือด บรรเทาอาการซึมเศร้า ช่วยให้ระบบประสาทและผิวหนังมีความสมบูรณ์
วิตามินบี 5 หรือกรดแพนโทธินิค (Pantothenic acid) ช่วยในการเผาผลาญไขมันและคาร์โบไฮเดรต ช่วยบำรุงผิวพรรณและเส้นผม และต้านความเครียด
วิตามินบี 6 หรือไพริดอกซิน (Pyridoxine) ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน สร้างเนื้อเยื่อและการเจริญเติบโต และยังเป็นสารที่จำเป็นต่อในการทำงานของระบบประสาทอีกด้วย
วิตามินบี 7 หรือไบโอติน (Biotin) จำเป็นต่อกระบวนการเผาผลาญไขมัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และยังช่วยในการผลตกรดไขมันเพื่อสุขภาพผิว เส้นผม ป้องกันผมหงอกก่อนวัย
วิตามินบี 9 หรือโฟเลต ช่วยสร้างเซลล์ เนื้อเยื่อ พัฒนาระบบประสาท สมอง จึงจำเป็นต่อทารกในครรภ์ เด็กก่อนวัยเรียน และเด็กวัยเรียนด้วย
วิตามินบี 12 หรือไซยาโนโคบาลามิน ช่วยในการสร้างโปรตีน สร้างเม็ดเลือดแดง ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง
วิตามินบีต่างๆ มีส่วนสำคัญทั้งต่อระบบประสาทและส่วนอื่นๆทั่วร่างกาย จึงเป็นวิตามินประเภทที่สำคัญต่อร่างกายมากๆ คุณจึงควรต้องรับประทานวิตามินบีรวมเป็นประจำ โดยวิตามินบีรวม เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ จะถูกกำจัดออกทางปัสสาวะเมื่อเกิน จึงไม่สะสมและไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ทำให้รับประทานได้เป็นประจำ
เสริมวิตามินบีรวมแล้ว อย่าลืมหาเวลานอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอด้วยนะคะ
(คลิ๊กเพื่ออ่าน >> วิตามิน บี การ์ดพิทักษ์เซลล์ประสาทและสมอง)
ไม่เลิกอมควันซักที ต้องเริ่มเสริมวิตามินซี ตั้งแต่เนิ่นๆ
วิตามินซีหรือกรดแอสคอร์บิก (Ascorbic acid) มีความจำเป็นต่อการกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันให้สารอื่นไม่ถูกออกซิไดร์ เช่น วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 กรดโฟลิค และวิตามินอี ซึ่งผู้ที่สูบบุหรี่มักมีอนุมูลอิสระเกิดขึ้้นในร่างกายมากกว่าปกติอยู่แล้ว จึงต้องการปริมาณวิตามินซีมากกว่าคนอื่นๆ ดังนั้น วิตามินซีจึงเป็นวิตามินที่ผู้สูบบุหรี่ควรรับประทานเสริมเป็นประจำทุกวัน เพราะวิตามินซีเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ จะถูกขับออกทางปัสสาวะ จึงต้องรับประทานเป็นประจำทุกวัน และอย่าลืมว่าลดการสูบบุหรี่ลงจะดีต่อสุขภาพที่สุดนะคะ
(คลิกเพื่ออ่าน >> อาการเมื่อร่างกายขาดวิตามินซี)
บำรุงครรภ์เพื่อคุณลูก อย่าลืมดูแลกระดูกคุณแม่ เพื่อ สุขภาพดี
คุณแม่ตั้งครรภ์อาจกังวลเรื่องการเจริญเติบโตของลูกน้อย เพราะก่อนหน้าที่จะตั้งครรภ์อาจไม่ได้รับสารอาหารที่ประโยชน์เพียงพอ ดังนั้น ในระหว่างตั้งครรภ์ คุณแม่สามารถรับประทานอาหารเสริมที่มีความจำเป็นต่อคุณแม่และทารกในครรภ์เสริมได้ตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น แคลเซียม เพราะจำเป็นต่อการเสริมสร้างกระดูกและฟันทั้งของคุณแม่และลูกน้อย รวมถึงเป็นการเตรียมพร้อมที่สำคัญในการจะให้นมบุตรอีกด้วย โดยการรับประทานแคลเซียมเสริมควรเลือกแบบที่ระบุว่าคุณแม่ตั้งครรภ์และให้นุมบุตรสามารถรับประทานได้ด้วยนะคะ นอกจากนี้อย่าลืมรับประทานอาหารมื้อหลักให้ครบ 5 หมู่ เพื่อร่างกายที่แข็งแรงของคุณแม่และคุณลูกด้วยนะคะ
(คลิ๊กเพื่ออ่าน >> แคลเซียม ต้องการแค่ไหนถึงเพียงพอ)
สุขภาพดีเริ่มได้ง่ายๆ ควบคุมโรคได้ด้วยตัวเอง
เพียงแค่ใส่ใจกับสุขภาพของคุณในทุกๆวัน
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm
เช็คด่วน! วันนี้คุณได้รับ โคเอนไซม์คิวเทน เพียงพอหรือยัง ?
เช็คด่วน! วันนี้คุณได้รับ โคเอนไซม์คิวเทน เพียงพอแล้วหรือยัง ?
ต้องกินอะไร ? เท่าไหร่ ?
ถึงจะได้รับ "โคเอนไซม์คิวเทน" เพียงพอใน 1 วัน
โคเอนไซม์คิวเทน (CoQ10) ชื่อที่หลายๆคนคุ้นหูกันดี เพราะช่วยในการต่อต้านริ้วรอย แต่รู้หรือไม่ว่าโคเอนไซม์คิวเทน อาจมีความสำคัญต่อร่างกายกว่าที่คุณคิด!!
โคเอนไซม์คิวเทน ไม่ใช่แค่บำรุงผิวให้สวยอ่อนเยาว์ ต่อต้านริ้วรอยก่อนวัย แต่โคเอนไซม์คิวเทนยังเป็นสารสำคัญต่อทั้งร่างกาย เพราะโคเอนไซม์คิวเทนคือสารอาหารต้านอนุมูลอิสระที่เป็น "แหล่งพลังงานของเซลล์" ทุกเซลล์ในร่างกาย จึงมีประโยชน์ต่อการทำงานของอวัยวะทุกๆส่วนในร่างกาย โดยเฉพาะอวัยวะที่ต้องการใช้พลังงานเยอะ อย่างหัวใจ ที่ต้องพลังในการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงยังทุกส่วนของร่างกาย จึงต้องการคิวเท็นอย่างขาดไม่ได้ สรุปง่ายๆคือ ถ้าหากร่างกายขาด คิวเท็น นั่นหมายความว่า ร่างกายกำลังขาดแหล่งพลังงานที่สำคัญของเซลล์ ทำให้เซลล์ในร่างกายหยุดทำงาน ส่งผลต่ออวัยวะทุกส่วนในร่างกายได้รับผลกระทบนั่นเอง (คลิกเพื่ออ่าน >> ทำไมร่างกายขาดโคคิวเท็นไม่ได้)
ประโยชน์ของ โคเอนไซม์คิวเทน
- ช่วยเพิ่มพลังงานให้เซลล์ในร่างกาย
- เสริมประสิทธิภาพการทำงานของระบบหัวใจ
- เสริมสร้างการทงานของระบบภูมิคุ้มกัน
- ต่อต้านอนุมูลอิสระ ต่อต้านการเกิดริ้วรอย
- รักษาโรคเหงือก
เมื่ออายุมากขึ้น ระดับของ โคเอนไซม์คิวเทน จะลดลงไปเรื่อยๆ ซึ่งอาจสัมพันธ์กับการเกิดโรคต่างๆ เช่น
- เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดและระบบหัวใจ
- เสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสัน
- เสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์
เมื่อรู้แล้วว่า คิวเท็น สำคัญขนาดนี้ เรามาสำรวจกันว่าวันๆหนึ่ง เรารับประทานอาหารที่ทำให้ร่างกายได้รับปริมาณคิวเท็นเพียงพอแล้วหรือยัง ??
เนื้อแดง 3.4 กิโลกรัม
ต้องรับประทานเนื้อแดงถึงวันละ 3.4 กิโลกรัม ถึงจะได้รับคิวเท็น เพียงพอในหนึ่งวัน ซึ่งอาจจะฟังดูเป็นปริมาณที่เยอะมากๆ ดังนั้น ความจริงแล้วเราควรรับประทานแต่พอประมาณ พร้อมกับอาหารประเภทอื่นๆที่อุดมด้วยคิวเท็นด้วย เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เหมาะสมนะคะ
เนื้อไก่ 5.7 กิโลกรัม
ผักโขม 50 กิโลกรัม
ปลาซาร์ดีน 120 กระป๋อง
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm
ขาดวิตามินซี ทำให้ร่างกายมีอาการแบบนี้นี่เอง
ถ้ามีอาการแบบนี้... คุณอาจ ขาดวิตามินซี โดยไม่รู้ตัว !!
" จะรู้ได้อย่างไรว่า...
ร่างกาย ขาดวิตามินซี "
วิตามินซี หรือกรดแอสคอร์บิก (Ascorbic Acid) พบได้ในผลไม้รสเปรี้ยวทุกชนิด มีมากที่สุดในผลมะขามป้อม โดยมะขามป้อม 100 กรัมมี วิตามินซี ประมาณ 1,700 มิลลิกรัม รองลงมาคืออะซโรลาเชอร์รี่ โดยอะซโรลาเชอร์รี่ 100 กรัมจะให้วิตามินซีประมาณ 1,600 มิลลิกรัม และยังพบได้ในผักใบเขียว มันฝรั่ง มะเขือเทศ โดยวิตามินซีที่ดีที่สุดคือวิตามินซีที่มาจากผลไม้ เพราะจะมีสารซีตรัสไบโอฟลาโวนอยด์ (Citrus bioflavonoids) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่สามารถช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ ลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งและช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของวิตามินซีได้ดี (คลิ้กเพื่ออ่านเพิ่มเติม วิตามินซีจากธรรมชาติ VS วิตามินซีสังเคราะห์ ) ซึ่งร่างกายของแต่ละคน มีความต้องการวิตามินซีที่แตกต่างกัน เช่น ผู้ที่สูบบุหรี่และผู้สูงอายุมีความต้องการวิตามินซีที่มากกว่า และการที่ร่างกายขาดวิตามินซี ส่งผลให้ร่างกายมีอาการต่างๆได้มากมายกว่าที่คิด
อาการขาดวิตามินซี อาจก่อให้เกิดความผิดปกติในร่างกายได้ทั้งหลายอย่าง เพราะวิตามินซีเป็นวิตามินพื้นฐานที่มีความจำเป็นต่อร่างกายเป็นอย่างมาก ส่งผลตั้งแต่ด้านผิวพรรณไปจนถึงเหงือกและฟัน โดยที่หลายคนอาจยังไม่รู้และมองข้ามความสำคัญของอาการเหล่านั้นไป วันนี้เรามาดูกันว่าอาการเบื้องต้นที่เป็นสัญญานว่าร่างกายของคุณกำลังขาดวิตามินซี มีอะไรบ้าง
ข้อควรระวังของวิตามินซี ก็คือ วิตามินซีมีคุณสมบัติเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ และเป็นวิตามินที่สลายตัวเร็วเมื่อตั้งทิ้งไว้ในอากาศ โดนแสง และความร้อน ทำให้พืชผักที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารต่างๆมักสูญเสียวิตามินซีไปได้ง่ายๆในระหว่างขั้นตอนการปรุงอาหาร เช่น การหั่นผักแล้วล้างก็อาจะทำให้วิตามินซีละลายไปกับน้ำแล้ว หรือการนำไปต้มด้วยความร้อนก็สามารถทำลายวิตามินซีได้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ร่างกายของเราไม่สามารถผลิตและไม่สะมารถสะสมวิตามินซีไว้ได้นาน เพราะวิตามินซีละลายในน้ำและจะถูกขับออกทางปัสสาวะ ทำให้ร่างกาของเรามีโอากาสที่จะขาดวิตามินซีได้ง่าย จึงมีการแนะนำให้รับประทานวิตามินซีเป็นประจำทุกวันเพื่อป้องกันการ ขาดวิตามินซี นั่นเอง
ผิวแห้งกร้าน เพราะ ขาดวิตามินซี
วิตามินซี กับ ผิวพรรณ เป็นของคู่กัน คนส่วนมากรู้จักวิตามินซีในฐานนะของวิตามินบำรุงผิวพรรณ ช่วยให้ผิวกระจ่างใส นั่นเป็นเพราะว่าวิตามินซีมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งส่งผลต่อโครงสร้างของชั้นผิวหนัง เมื่อชั้นผิวมีคอลลาเจนที่สมบูรณ์ ก็จะส่งผลให้ผิวพรรณมีความเต่งตึงเปล่งปลั่ง เป็นที่มาของผิวสวยเนียนนุ่ม และช่วยให้แผลต่างๆสมานได้เร็วขึ้น นอกจากนั้น วิตามินซียังเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระให้กับร่างกาย สามารถช่วยชะลอความเหี่ยวย่นที่เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ผิวหนังได้ดีอีกด้วย จึงเรียกได้ว่าวิตามินซีเป็นวิตามินคู่ผิวสวยที่ไม่ควรเลยจริงๆ
เลือดออก ขณะแปรงฟัน
นอกตากวิตามินซีจะส่งผลต่อผิวพรรณแล้ว วิตามินซียังเป็นตัวช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่เป็นองค์ประกอบของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เช่น เหงือกและฟัน ดังนั้นหากร่างกาย ขาดวิตามินซี อาจส่งผลให้เหงือกและฟันไม่แข็งแรง เมื่อถูกการกระตุ้น เช่น การแปรงฟันแรงๆก็อาจะทำให้มีเลือดออกตามไรฟันได้ และการขาดวิตามินซีอาจทำให้มีเลือดออกตามไรฟัน ส้นเลือดฝอยเปราะ หรือมีอาการเหงือกบวมได้
เป็นหวัดง่าย เพราะขาดวิตามินซี
วิตามินซี มีความจำเป็นต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยสร้างเม็ดเลือดขาว และป้องกันการเป็นหวัดได้อย่างดี นอกจากจะป้องกันแล้ว วิตามินซียังสามารถช่วยลดเวลาการเจ็บป่วยจากหวัดได้อีกด้วย ดังนั้น ควรรับประทานวิตามินซีเป็นประจำทุกวัน เพื่อช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับร่างกาย รวมถึงลดโอกาสการเป็นหวัด หรือเพิ่มปริมาณการรับประทานวิตามินซีในช่วงที่เป็นหวัด ก็สามารถช่วยให้หายเร็วขึ้นได้ด้วยนะคะ
เพื่อบรรเทาอาการหวัด รับประทานวิตามินซี 1,000 มิลลิกรัม วันละ 2 เวลา พบว่าจะช่วยลดระดับฮิสตามีนในเลือดลงถึงร้อยละ 40 ซึ่งฮิสตามีนเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการน้ำมูกน้ำตาไหลนั่นเอง
แผลหายช้า
บางคนอาจสงสัยว่า "แผลหายช้าเกี่ยวอะไรกับการขาดวิตามินซี ?" คำอธิบายง่ายๆก็คือ วิตามินซี เป็นสารสำคัญในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าคอลลาเจนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของผิวหนัง ถ้าผิวหนังมีปริมาณคอลลาเจนที่สมบูรณ์ก็จะทำให้ผิวมีความเต่งตึง และฟื้นฟูได้ดี แต่ถ้าผิวขาดคอลลาเจนก็จะส่งผลให้แผลหายช้าไปด้วยนั่นเอง
อาจมีคำถามต่อมาว่า งั้นเรารับประทานคอลลาเจนเข้าไปเลยไม่ได้หรอ ซึ่งการรับประทานคอลลาเจนนั้นสามารถทำได้ แต่การรับประทานคอลลลาเจนก็มักจะต้องรับประทานคู่กับวิตามินซีอยู่ดีเพราะวิตามินซีเป็นสารสำคัญที่ช่วยในการดูดซึมและช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน สรุปง่ายๆก็คือ วิตามินซีมีความสำคัญต่อผิวหนังอย่างมาก ดังนั้น การได้รับวิตามินซีในปริมาณที่เพียงพอ จะมีส่วนช่วยให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนได้ตามปกติ และจะส่งผลให้ผิวฟื้นฟูได้เร็ว และช่วยให้แผลหายได้เร็วนั่นเอง
ประโยชน์ของวิตามินซี
- ต่อต้านอนุมูลอิสระ
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในร่างกาย
- ช่วยในการรักษาแผลสด แผลไหม้
- ช่วยให้แผลผ่าตัดหายเร็วขึ้น
- ช่วยรักษาอาการเลือดออกตามไรฟัน
- ช่วยในการเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
- ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและธาตุเหล็ก
- ต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง
- ต่อต้านการเกิดโรคเกาต์
- ลดความดันโลหิตสูง ลดคลอเลสเตอรอลชนิดเลว ลดไขมันในเลือด เพิ่มคลิเลสเตอรอลชนิดดี เพิ่มความยืดหยุ่นของผนังหลอดเลือดขนาดเล็ก ป้องกันภาวะหลอดเลือดแข็งตัว โรคหัวใจและหลอดเลือด
- ช่วยในการเปลี่ยนคอเลสเตอรอลไปเป็นน้ำดี ทำให้ปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดลดลง จึงลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด
- เสริมสร้างระบบภูมิคุมกัน กระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และต้านการหลั่งสารภูมิแพ้ (Histamine)
- เพิ่มประสิทธิภาพของยาที่ใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
- ช่วยลดความดันเลือด
- ลดการเกิดเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ
ศาสตราจารย์ ดร.ไลนัส พอลลิ่ง ผู้ศึกษาเรื่องวิตามินซี และได้รับรางวัลโนเบลถึง 2 ครั้ง แนะนำให้รับประทานวิตามินซีเพื่อช่วยเสริมสร้างถูมิคุ้มกัน บรรเทาความรุนแรงของโรคหวัด รวมทั้งลดระยะเวลาการป่วยจากโรคหวัด และยังมีส่วนช่วยในการลดการหลั่งสารก่อภูมิแพ้ในร่างกายอีกด้วย
จะเห็นได้ว่าวิตามินซีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงานของอวัยวะในร่างกายมากกว่าที่คิด ดังนั้น ควรให้ความสำคัญกับการรับประทานวิตามินซีเป็นประจำทุกวัน เพราะวิตามินซีเป็นวิตามินที่สลายไปได้ง่ายและร่างกายของเราไม่สามารถผลิตวิตามินซีขึ้นมาเองได้ วิตามินซีที่รับประทานเข้าไปก็จะละลายในน้ำ ส่วนเกินก็จะถูกขับออกทางปัสสาวะเป็นประจำทุกวัน จึงไม่ต้องห่วงเรื่องการสะสมในร่างกาย ทำให้เราสามารถรับประทานวิตามินซีได้อย่างต่อเนื่องเป็นกระจำทุกวัน
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm
เข่าเสื่อม คุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นหรือยัง ??
ผู้ที่มีความเสี่ยง เป็นโรค "เข่าเสื่อม"
หลายคนอาจเข้าใจว่า "เข่าเสื่อม" เป็นปัญหาสุขภาพที่ควรระวังเมื่อมีอายุมาก แต่ความจริงแล้ว โรคเข่าเสื่อมไม่ได้พบเฉพาะในผู้ที่สูงอายุเท่านั้น แต่ปัจจัยการใช้ชีวิตบางอย่างก็สามารถทำให้เกิดโรคเข่าเสื่อมในคนอายุน้อยๆได้เหมือนกัน เช่น การมีน้ำหนักตัวมากเกินไป การออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกมากๆ หรือการเป็นโรคเกี่ยวกับข้อเข่าอักเสบ หากคุณมีปัจจัยเหล่านี้อยู่ ก็ควรระวังปัญหาสุขภาพข้อเข่าด้วยเช่นกัน เพราะปัญหาโรคข้อเสื่อมสามารถป้องกันได้ และการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อโรคข้อเข่าเสื่อม ก็เป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติตั้งแต่เนิ่นๆโดยไม่ต้องรอให้เกิดอาการก่อน ดังนั้น ในบทความนี้จะมีปัจจัยและพฤติกรรมเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อมมาฝากกันค่ะ
ผู้ที่อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป
เมื่ออายุมากขึ้น ความสามารถในการผลิตคอลลาเจ
ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก (BMI > 23)
ค่า BMI คือ ดัชนีที่ใช้ชี้วัดความสมดุล
⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀
สูตรคำนวณค่า BMI
น้ำหนักตัว[Kg] / (ส่วนสูง[m] ยกกำลังสอง)
⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀
ถ้าคุณมีค่า BMI มากเกิน 23 ขึ้นไป แสดงว่ามีน้ำหนักตัวเกินกว่ามาต
การมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน
ผู้ที่ออกกำลังกายที่มีการก ระแทกมาก เสี่ยง เข่าเสื่อม
แน่นอนว่าการออกกำลังกายเป็
นอกจากนี้พฤติกรรมการนั่งพับเพียบ การนั่งคุกเข่าเป็นเวลานานๆต่อเนื่องเป็นประจำ ก็ทำให้เกิดแรงกดทับได้มากเช่นกัน หากทำเป็นประจำก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเข่าเสื่อมได้เช่นกัน
ผู้ที่เป็นโรคข้ออักเสบ เช่น รูมาตอยด์ เกาต์
ผู้ที่เป็นโรคข้ออักเสบ เช่น รูมาตอยด์ เกาต์ มักมีอาการปวดบริเวณข้อเข่า เนื่องจากการอักเสบบริเวณข้อ ซึ่งโรครูมาตอยด์และโรคเกาต์มีความแตกต่างกันคร่าวๆ ดังนี้
โรครูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) เกิดขึ้นจากความผิดปกติของระบบภูมิต้านทานอย่างหนึ่ง ที่ไปทำลายและกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อและกระดูกรอบข้อ ส่งผลให้เกิดอาการปวดได้ทุกจุดของร่างกาย ทั้งข้อนิ้วมือ ข้อไหล่ ข้อนิ้วเท้า ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อไหล่ ข้อศอก
โรคเกาต์ (Gout) เกิดจากการที่ร่างกายสะสมกรดยูริก (Uric Acid) มากเกินไป และไม่สามารถขับกรดยูริกส่วนเกินออกได้ จึงตกผลึกตามข้อและอวัยวะต่าง ๆ ส่วนมากพบว่ามีอาการปวดในบริเวณส่วนล่างของร่างกาย โดยเฉพาะข้อโคนนิ้วหัวแม่เท้า นิ้วเท้า ข้อเท้า และข้อเข่า
ผู้ที่เป็นโรคข้ออักเสบ มักพบกับอาการปวดบริเวณข้อได้ง่ายอยู่แล้ว เมื่อบริเวณข้อมีการอักเสบเป็นประจำหรือเป็นเรื้อรังนานๆ ก็อาจะส่งผลให้เกิดโรคเข่าเสื่อมได้เช่นกัน ดังนั้น ตวรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาให้หาย เพื่อลดความเสี่ยงในการปวดเรื้อรัง
สารสกัดที่ช่วยบำรุงข้อ ลดความเสี่ยง เข่าเสื่อม และลดอาการปวดข้อ
✔ UC-II คือ คอลลาเจน Type II เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะจากประเท
✔ สารสกัดจากขมิ้นชัน มีส่วนช่วยในการบรรเทาอาการ
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm
แคลเซียม ต้องการแค่ไหนถึงเพียงพอ ?
แคลเซียม เป็นแร่ธาตุที่มีอยู่ในร่างกายมากกว่าแร่ธาตุอื่นๆ ซึ่งแคลเซียมจะทำงานร่วมกับฟอสฟอรัส เพื่อให้กระดูกและฟันแข็งแรง และแคลเซียมจะทำงานร่วมกับแมกนีเซียมเพื่อสุขภาพของหัวใจและเส้นเลือด แคลเซียมในร่างกายเกือบทั้งหมดจะสะสมอยู่ในกระดูกและฟันร้อยละ 20 ของแคลเซียมในกระดูกของผู้ใหญ่ จะถูกย่อยสลายและสร้างใหม่ทุกปี และการดูดซึมแคลเซียมจะต้องอาศัยวิตามินดีเป็นตัวช่วยในการดูดซึม
ร่างกายจะสะสม แคลเซียม ตั้งแต่ในช่วงวัยเด็ก และจะสะสมแคลเซียมได้มากที่สุดในช่วงวัยรุ่น ผู้หญิงจะมีแคลเซียมมากถึง 90% ในช่วงอายุ 18 ปี ในขณะที่ผู้ชายจะมีแคลเซียมถึง 90% ในช่วงอายุประมาณ 20 ปี โดยทั้งผู้หญิงและผู้ชายจะมีการสะสมแคลเซียมสูงที่สุดในช่วงวัย 30 ปี แต่เป็นที่น่าเสียดายที่หลังจากอายุ 30 เป็นต้นไป ร่างกายจะไม่มีการสะสมแคลเซียมแล้ว นั่นหมายความว่า หากอาหารที่รับประทานเข้าไปมีปริมาณแคลเซียมไม่เพียงพอก็จะส่งผลให้กระดูกเริ่มผุ ยิ่งไปกว่านั้น ในวัยหลังหมดประจำเดือน 5-7 ปี ผู้หญิงจะมีการสูญเสียความหนาแน่นของกระดูกประมาณ 3-5% ต่อปี ซึ่งอาจสูงถึง 20% ของมวลกระดูกทั้งหมด
การขาดแคลเซียม ไม่เพียงแต่จะทำให้กระดูกพรุน แต่จะส่งผลให้เลือดไหลไม่หยุด ทำให้กล้ามเนื้อวัยต่อการกระตุ้น อาจทำให้เกิดอาการชักเกร็ง หัวใจผิดปกติ เป็นตระคิว ไตทำงานผิดปกติ และทำให้การดูดซึมแร่ธาตุต่างๆผิดปกติ
แคลเซียม สำหรับอายุ 1-30 ปี
ถือเป็นวัยที่โชคดีเพราะร่างกายยังสามารถสะสมแคลเซียมได้ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงอายุ 30 ปี โดยเฉพาะเด็กๆที่รับประทานแคลเซียมเข้าไป เช่น จากนมหรืออาหาร ร่างกายก็จะนำแคลเซียมนั้นไปเก็บไว้ก่อน และเมื่อร่างกายต้องการใช้แคลเซียมเมื่อไรก็จะสามารถนำออกมาใช้ได้ และค่อยสะสมแคลเซียมเข้าไปใหม่โดยการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมเข้าไปใหม่ ในช่วงอายุ 1-30 ปี ร่างกายต้องการแคลเซียม 800-1,000 มิลลิกรัม
แคลเซียม สำหรับอายุ 30 ปีขึ้นไป
หลังจากอายุ 30 ปีขึ้นไป เป็นที่น่าเสียดายที่ร่างกายจะไม่สามารถเก็บสะสมแคลเซียมในร่างกายได้อีกต่อไป นั่นหมายความว่าร่างกายควรจะได้รับแคลเซีนมในทุกๆวันอย่างเพียงพอ โดยต้องการวันละ 1,000 มิลลิกรัม
แคลเซียมสำหรับอายุประมาณ 50 ปี
เมื่ออายุประมาณ 50 ปี หรือที่เรียกกันว่าเข้าสู่ช่วงวัยทอง ร่างกายจะต้องการแคลเซียมในปริมาณวันละ 1,000 มิลลิกรัม ผู้ที่อยู่ในวัยนี้ควรหมั่นตรวจมวลกระดูกเป็นประจำ และยังเป็นช่วงที่ต้องระวังในการทำกิจกรรมต่างๆที่อาจมีการกระแทกรุนแรง เพราะหากที่ผ่านมาร่างกายได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ อาจทำให้กระดูกไม่แข็งแรงและเกิดการเปราะหักได้ง่าย
แคลเซียมสำหรับอายุ 50 ปีขึ้นไป และคุณแม่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
เมื่ออายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป ควรรับประทานแคลเซียมให้ได้วันละ 1,200 มิลลิกรัม เพื่อเสริมความแข็งแรงของกระดูกมากขึ้น และที่สำคัญคือเป็นการป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน
กระดูกพรุน (Osteoporosis) คือ ภาวะที่กระดูกมีความแข็งแรงลดลง ส่งผลให้กระดูกแตกหักได้ง่ายกว่าปกติ แม้ได้รับแรงกระแทกเล็กๆน้อยๆก็อาจเกิดการแตกหักที่กระดูกได้ จึงเป็นโรคที่สร้างความเจ็บปวดได้มากและอาจมีการกดทับเส้นประสาทได้ ซึ่งจะยิ่งทำให้มีอาการเจ็บมากขึ้นไปอีก ดังนั้น ทุกเพสทุกวัยควรดูแลกระดูกด้วยการรับประทานแคลเซียมให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายอยู่เสมอ โดยเฉพาะวัย 50 ปีเป็นต้นไปที่ต้องการปริมาณแคลเซียมมากกว่าคนในวัยอื่นๆ และร่างกายมีประสิทธิภาพการดูดซึมแคลเซียมได้น้อยลงเรื่อยๆ จึงต้องหมั่นเติมแคมเซียมให้ร่างกายอย่างเพียงพอ
นอกจากนี้ คุณแม่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ก็ควรรับประทานแคลเซียมวันละ 1,200 มิลลิกรัมด้วย เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายต้องการนำแคลเซียมไปใช้ในการสร้างน้ำนมมากขึ้นด้วย
หลายๆคนอาจจะรู้จัก "แคลเซียม" ในฐานะของส่วนประกอบสำคัญของกระดูกและฟันและจำเป็นต่อการคงสภาพปกติของกระดูกและฟัน แต่นอกจากจะเป็นสารที่จำเป็นต่อกระดูกและฟันแล้ว แคลเซียมยังมีประโยชน์อย่างมากต่อระบบอื่นๆในร่างกาย เช่น
- มีส่วนช่วยในการแข็งตัวตามปกติของเลือด
- มีส่วนช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานจากเมตาบอลิซึมตามปกติ
- มีส่วนช่วยในการทำงานตามปกติของกล้ามเนื้อ
- มีส่วนช่วยในการทำงานตามปกติของสารสื่อประสาท
- มีส่วนช่วยในการทำงานตามปกติของเอนไซม์ในระบบย่อยอาหาร
- มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่
- มีส่วนช่วยให้จังหวะการเต้นของหัวใจเป็นปกติ
- ช่วยในการเผาผลาญธาตุเหล็กของร่างกาย
- ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก
- บรรเทาอาการนอนไม่หลับ
แหล่งธรรมชาติที่ดีที่สุด
คือ นมและผลิตภัรฑ์จากนมทุกชนิด ชีส ถั่วเหลือง เต้าหู้ ปลาซาร์ดีน ปลาแซลมอน ถั่วลิสง วอลนัท เมล็ดทานตะวัน ถั่วแห้ง ผักเคล กะหล่ำใบเขียว
สารที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมแคลเซียม
การรับประทานแคลเซียมนั้นจะดูดซึมได้ดีมากขึ้น หากรับประทานร่วมกับ "โบรอน" (Boron)
สารที่ลดการดูดซึมแคลเซียม
แอลกอฮอลล์ จะขัดขวางการดูดซึมของแคลเซียม ลดการกระตุ้นวิตามินดีที่ตับ และเร่งการขับแคลเซียมออกมาทางปัสสาวะ
กาแฟ เพราะเครื่องดื่มที่มีสารกาเฟอีนจะขับแคลเซียมออกจากกระแสเลือด โดยกาแฟเพียง 1 แก้ว จะมีผลต่อการสูญเสียแคลเซียมถึง 2-3 มิลลิกรัม
น้ำอัดลม มีกรดฟอสฟอริกและกรดคาร์บอนิกที่ทำให้เกิดฟอง ทำให้เลือดเป็นกรด และส่งผลให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียมในที่สุด
อาหารรสเค็มจัด เพราะจะทำให้ร่างกายเริ่มกำจัดเกลือออกทางปัสสาวะ ซึ่งจะเป็นการขับแคลเซียมออกไปจากร่างกายด้วย
ธัญพืชที่มีสารไฟเตตสูง จะขัดขวางการดูดซึมแคลเซียม จึงไม่ควรรับประทานแคลเซียมพร้อมกับอาหารที่มีสารไฟเตตสูง
อาหารมีฟอสฟอรัสสูง เช่น ตับ เพราะเมื่อร่างกายต้องการจะรักาาสมดุลของฟอสฟอรัส ก็จะทำการขับแคลเซียมออก
บทความที่เกี่ยวข้อง
ทำไมคนไทย... ถึงเสี่ยงกระดูกพรุน มากกว่าชาติใดในโลก
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm
สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายด้วย 6 วิธีการดูแลตัวเอง พร้อมสู้และผ่านโควิด-19 ไปด้วยกัน
ภูมิคุ้มกันในร่างกายเปรียบเสมือนปราการด่านแรก สำหรับต้านโรคภัยไข้เจ็บที่จะเข้ามาเยี่ยมเยือน หากเราไม่ดูแลสุขภาพของตนเอง รับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ไม่ออกกำลังกาย มีความเครียด พักผ่อนน้อย โรคภัยก็ถามหาได้ง่าย ๆ ดังนั้น การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพื่อให้เรามีร่างกายที่แข็งแรง สามารถต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ โดยเฉพาะช่วงที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ลามไปทั่วโลก และยังคงไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงได้ง่าย
สาเหตุที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอ
หลายคนอาจสงสัยว่า เพราะเหตุใดร่างกายของคนเราจึงมีภูมิคุ้มกันที่ไม่เท่ากัน บางคนป่วยง่าย บางคนนาน ๆ ถึงจะป่วยสักที การที่ภูมิคุ้มกันร่างกายของคนเราอ่อนแอมีด้วยกันหลายปัจจัย เช่น มาจากกรรมพันธุ์ หากพ่อแม่มีร่างกายแข็งแรงไม่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม ลูกที่เกิดมาก็จะมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีตามไปด้วย เป็นต้น
นอกจากนี้ พฤติกรรมการดูแลสุขภาพที่ไม่เหมาะสม ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนที่มีร่างกายแข็งแรงกลายเป็นอ่อนแอได้ เช่น การรับประทานอาหารไม่ครบห้าหมู่ ไม่ทานผักผลไม้ พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือร่างกายสะสมความเครียด
6 วิธีป้องกันดูแลตนเองให้ห่างไกลโรค
เราสามารถสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ดีขึ้นได้ ด้วยการดูแลสุขภาพ เช่น การทานอาหารที่มีประโยชน์หรือการออกกำลังกาย โดยมีคำแนะนำจาก ทีมเภสัชกร บริษัท ไบโอฟาร์ม เคมิคัลส์ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายเวชภัณฑ์คุณภาพชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ เกี่ยวกับ 6 วิธีดูแลร่างกายเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรค ดังนี้
1. ลดความเครียด อารมณ์เครียดจะส่งผลเพิ่มการหลั่งฮอร์โมนที่มีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน ของร่างกาย ทำให้ภูมิต้านทานต่อโรคต่างๆ ลดลงจึงเกิดการติดเชื้อได้ง่าย จึงไม่ควรปล่อยให้ตัวเองเครียด
2. นอนหลับให้เพียงพอ การนอนไม่พอนั้นมีผลต่อการสร้างเซลล์ในระบบภูมิต้านทาน เช่น แอนติบอดี โดยการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยชิคาโก ในผู้ที่นอนหลับคืนละ 7 ชม. เป็นเวลา 4 วัน แล้วให้วัคซีนไข้หวัด พบว่าคนกลุ่มนี้จะสามารถสร้างแอนติบอดี ซึ่งเป็นเซลล์ในระบบภูมิต้านทาน ต่อเชื้อไข้หวัดได้มากกว่าผู้ที่นอนหลับคืนละ 4 ชม. ถึง 50%
3. ดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพราะน้ำจะช่วยเพิ่มสารคัดหลั่งและความชุ่มชื้นของเยื่อบุผิวในท่อทางเดินหายใจส่วนบน ที่จะช่วยป้องกัน และดักจับฝุ่นละอองหรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย
4. ออกกำลังกายอย่างพอเหมาะเป็นประจำ นอกจากช่วยให้กล้ามเนื้อร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังช่วยขับของเสียผ่านทางเหงื่อ และเพิ่มปริมาณการไหลเวียนเลือด ช่วยกระตุ้นให้ระบบการไหลเวียนเลือดดีขึ้น แล้วทำให้เม็ดเลือดขาวแข็งแรงสามารถจัดการกับเชื้อโรค อีกทั้งร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟินออกมาหลังการออกกำลังกายเพื่อช่วยทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย ลดความเครียด และความวิตกกังวล ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคภัยได้ โดยเราควรออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อยวันละ 30 นาที 3 - 4 วันต่อสัปดาห์
5. รับประทานอาหารต้านโรค นอกเหนือจากการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ควรเสริมด้วยอาหารที่ช่วยสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกัน เช่น
- เบต้าแคโรทีน ซึ่งโดยมากจะอยู่ในผักและผลไม้
- วิตามินซี วิตามินอี, วิตามินบี อาทิ ผักใบเขียวจัดหรือผักผลไม้สีเหลืองส้ม
- แร่ธาตุ เช่น ซิลีเนียม หรือสังกะสี ที่พบในเนื้อสัตว์ อาหารทะเล นม หรือถั่ว เป็นต้น
6. ล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ ควรล้างมือก่อนการปรุงอาหาร และก่อนรับประทานอาหาร รวมไปถึง ล้างมือหลังจากหยิบจับสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ธนบัตร และสิ่งของสาธารณะที่มีคนใช้บริการจำนวนมาก เพื่อป้องกันการได้รับเชื้อโรคต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกาย
ทั้งหมดนี้ควรปฏิบัติควบคู่กันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ทางสุขภาพที่ดีขึ้น สำหรับผู้ที่ทานผักและผลไม้ยากหรือทานได้ไม่เต็มที่นัก การทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมภูมิคุ้มกัน อาทิ วิตามินรวมและแร่ธาตุต่างๆ ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ ซึ่งปัจจุบันมี ผลิตภัณฑ์มัลติวิตามิน ให้เลือกหลากหลาย เป็นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ทำให้เรามีสุขภาพที่แข็งแรง
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm
CoQ10 กับ 4 ความเสี่ยงเมื่อร่างกายขาด
โคคิวเท็น สำคัญต่อหัวใจขนาดไหน ?
ทำไมร่างกายขาดโคคิวเท็นไม่ได้
โคคิวเทน (CoQ10) คืออะไร?
หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อ "CoQ10" อยู่บ่อยๆ แต่ยังสงสัยว่ามาจากอะไร ซึ่งตัว Q มาจากสารชื่อควิโนน ส่วน 10 มาจากจำนวนของสารไอโซพรีนิลที่มาเกาะกับควิโนน และเป็นตัวช่วยการทำงานของเอนไซม์จึงเรียกว่า โคเอนไซม์
คุณสมบัติของโคเอนไซม์คิวเท็น คือ ละลายได้ดีในไขมัน มีหน้าที่ในการสร้างพลังงานให้แก่เซลล์ พบว่า 95% ของพลังงานที่ร่างกายมนุษญ์สร้างขึ้นต้องใช้โคเอนไซม์คิวเทน ร่างกายสามารถสร้างโคเอนไซม์คิวเทนขึ้นเองได้โดยอาศัยกรดอะมิโนฟีนิลอะลานีนหรือไทโรซีนตัวใดตัวหนึ่งจากอาหารจำพวกโปรตีน และวิตามินบี 6 อาหารที่เป็นแหล่งของโคเอนไซม์คิวเทน เช่น ปลา ไก่ เนื้อ น้ำมันถั่วเหลือง ไข่ ผัก
โคเอนไซม์คิวเทน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์แรง สามารถช่วยลดความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์ที่กล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งปกติจะต้องใช้พลังงานอย่างมากเพราะเป็นส่วนที่ช่วยสูบฉีดระบบไหลเวียนโลหิตไปหล่อเลี้ยงทั่วร่างกาย โคเอนไวม์คิวเทนช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้แก่เซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ลดอนุมูลอิสระ และยังมีบทบาทในการช่วยบำรุงผิวพรรณ ช่วยฟื้นฟูสภาพผิว ป้องกันริ้วรอย และชะลอการแก่ก่อนวัย รวมถึงช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย โคคิวเท็น มีความสำคัญมากต่อกระบวนการส้รางพลังงาน ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของระบบต่างๆในร่างกายของเรา ดังนั้น หากร่างกายขาดโคคิวเท็น ร่างกายก็จะหยุดทำงานทันที
เมื่อเราอายุมากขึ้น ระดับของโคคิวเท็นจะลดลง ซึ่งอาจสัมพันธ์กับการเกิดโรคหลายชนิด โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวข้องกับความชรา นอกจากนี้ การรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ความเครียด และการติดเชื้อ อาจส่งผลให้ร่างกายมีปริมาณโคคิวเท็นน้อยลงอีกด้วย
(คลิ๊กเพื่ออ่าน >> อาหารที่อุดมด้วยโคคิวเท็น)
รู้หรือไม่... การปรุงอาหารด้วยความร้อนทำลาย CoQ10 14-32%
การปรุงอาหารให้สุกผ่านความร้อนนั้นเป็นเรื่องที่ดี เพราะสามารถช่วยฆ่าเชื้อโรคและลดความเสี่ยงที่จะนำเชื้อต่างๆเข้าสู่ร่างกาย แต่รู้หรือไม่ว่าการปรุงอาหารโดยใช้ความร้อน นอกจากจะทำลายเชื้อโรคแล้ว ยังทำลายสารโคเอนไซม์คิวเทนให้ลดน้อยลงไปถึง 14-32% เลยทีเดียว ดังนั้น การรับประทานอาหารที่ผ่านการปรุงสุกด้วยความร้อนเป็นเวลานานๆอาจทำให้โคเอนไซม์คิวเทนที่อยู่ในอาหารสลายไปหมด เช่น การต้มหรือทอดนานๆ
"4 ความเสี่ยงเมื่อร่างกายขาด CoQ10"
1. เสี่ยงต่อการเกิดโรคเกี่ยวกับ "หลอดเลือดและระบบหัวใจ"
หัวใจเป็นอวัยวะที่ต้องใช้พลังงานอย่างมาก และโคคิวเท็นก็เป็นสารที่ช่วยสร้างพลังงานให้กับเซลล์ต่างๆ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหัวใจ ดังนั้น เมื่อร่างกายขาดโคคิวเทนแน่นอนว่าจะส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพการทำงานของระบบหัวใจที่ลดลง ทำให้กระบวนการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆน้อยลงและอาจก่อให้เกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันได้ในที่สุด นอกจากนี้ยังพบว่าโคคิวเทนมีส่วนลดการก่อตัวของไขมันท
นอกจากนี้ ยาในกลุ่มสเตตินที่ผู้คนนับล้านรับประทานเพื่อลดระดับคอเลสเตอรอลซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของโรคหัวใจ ทำให้ระดับโคคิวเท็นในร่างกายลดลง ซึ่งหมายความว่า มีผู้คนนับล้านที่รับประทานยากลุ่มสเตตินเพื่อลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ แต่ยานี้อาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจด้วยเช่นกัน ดังนั้น สำหรับผ฿้ที่รับประทานยาในกลุ่มสเตติน ควรรับประทานโคคิวเท็นเสริมด้วย
2. เสี่ยงต่อ "เซลล์ในร่างกาย หยุดทำงานทันที"
โคคิวเท็น เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่พบได้ในทุกเซลล์ของสิ่งมีชีวิต และมีความสำคัญมากต่อกระบวนการสร้างพลังงานระดับเซลล์ หรือ เอทีพี (ATP) ให้กับทุก ๆ เซลล์ในร่างกาย ดังนั้น หากร่างกายขาดโคคิวเทนก็จะส่งผลให้เซลล์นั้น ๆ ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีปร
3. เสี่ยงต่อการเกิด "โรคพาร์กินสัน"
โรคพาร์กินสันเกิดจากการเสื่อมของเซลล์ โดยเฉพพาะเซลล์ประสาทบริเวณสมอง ทำให้เซลล์สมองของการควบคุมประสาทการเคลื่อนไหวเสื่อมลง ซึ่งโคคิวเทนจะไปช่วยยับยั้งอนุมูลอิสระที่จะไปทำลายเซลล์สมอง ดังนั้นจึงช่วยลดการเสื่อมของเซลล์และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคพาร์กินสัน
การศึกษาจากสถาบันโรคทางประสาทและโรคหลอดเลือดสมองแห่งชาติ (National Institute of neurological Disorders and Stroke) ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้สรุปว่า โคคิวเท็น ช่วยชะลออาการผิดปกติและการดำเนินโรคในโรคพาร์กินสันได้ แม้จะยังต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันต่อไป แต่ก็ถือเป็นการค้นพบครั้งใหญ่
4. เสี่ยงต่อการเกิด "โรคอัลไซเมอร์"
เซลล์สมองต้องการพลังงานมาก และแน่นอนว่าสารที่ช่วยในการสร้างพลังงานให้กับเซลล์สมองได้ดีก็คือโคคิวเทนนั่นเอง นอกจากนี้โคคิวเทนยังช่วยต้านอนุมูลอิสระรอบๆผนังเซลล์ ไม่ให้เข้าไปทำลายดีเอ็นเออีกด้วย ดังนั้นการที่ร่างกายขาดโคคิวเทนจะทำให้เซลล์สูญเสียตัวช่วย
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm
วิตามิน VS ยา ต่างกันอย่างไร? จำเป็นแค่ไหน?
วิตามิน และ ยา จำเป็นแค่ไหน ทำไมต้องเสริม ?
วิตามิน คืออะไร ?
วิตามิน คือ สารที่มีอยู่ในร่างกายของคนเราอยู่แล้ว และเป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกายที่ขาดไม่ได้ ถ้าร่างกายขาดวิตามินจะมีอาการผิดปกติขึ้นกับร่างกายแสดงออกมาให้เห็นทันที เช่น มีเลือดออกตามไรฟัน เป็นอาการของการขาดวิตามินซีในร่างกาย หรือมีอาการเล็บเปราะหักง่าย เกิดจากขาดไบโอติน ดังนั้น เมื่อร่างกายมีอาการผิดปกติต่างๆเกิดขึ้น อาจใช้วิธีการตรวจเลือดเพื่อหาสาเหตุของการขาดวิตามินได้ เพื่อทำการรับประทานวิตามินเสริมเข้าไป
ร่างกายของมนุษย์จำเป็นต้องมีสารต่างๆประกอบอยู่ในร่างกาย เช่น โปรตีน น้ำตาล วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ดังนั้น การได้รับวิตามินที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายจึงเป็นที่จำเป็นมากๆ เพราะวิตามินสามารถช่วยบำรุงและฟื้นฟูสุขภาพ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับและไต ต่างกับการใช้ยาที่หากใช้ติดต่อกันเป็นประจำ อาจส่งผลเสียต่อตับและตาหรือร่างกายในส่วนอื่นๆได้
วิตามินสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ
- วิตามินที่ละลายในน้ำ ได้แก่ วิตามินบี 1 บี 2 บี 3 บี 5 บี 6 บี 7 บี 9 บี 12 และวิตามินซี โดยวิตามินชนิดนี้จะสามารถอยู่ในร่างกายได้ 2-4 ชั่วโมง ส่วนที่เหลือจากการดูดซึมไปใช้งานก็จะถูกขับออกทางไต โดยการปัสสาวะนั่นเอง ดังนั้น วิตามินชนิดที่ละลายในน้ำ จะมีโอกาสสะสมในร่างกายน้อยมาก จึงไม่ค่อยมีผลข้างเคียง
- วิตามินที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค ซึ่งจะละลายได้ในไขมันเพื่อดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย จึงไม่สามารถขับออกทางปัสสาวะได้ หากได้รับวิตามินเหล่านี้มากเกินไป อาจเก็บสะสมไว้ในร่างกายได้ ผูที่รับประทานวิตามินชนิดนี้จึงควรมีช่วงที่หยุดรับประทานบ้าง เพื่อไม้ให้เกิดการสะสมในร่างกายมากจนเกินไป
วิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายบางชนิดตวรได้รับทุกวัน เช่น วิตามินซี (คลิ้กเพื่ออ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิตามินซี) และวิตามินบี ซึ่งเป็นวิตามินชนิดที่ละลายในน้ำ หลังจากดูดซึมไปใช้งานแล้ว จะถูกกำจัดออกทางปัสสาวะ ไม่สะสมในร่างกาย จึงสามารถรับประทานเป็นประจำทุกวันได้อย่างปลอดภัย
วิตามิน เป็นอาหารเสริม ไม่ใช่อาหารหลัก
ถึงแม้ว่าการได้รับวิตามินอย่างเพียงพอและเหมาะสมจะสามารถช่วยบำรุงและฟื้นฟูร่างกายได้ แต่การรับประทานวิตามินก็ไม่สามารถมอบสารอาหารอันหลากหลายได้เหมือนอาหารจานหลักจากอาหารมื้อต่างๆที่รับประทานเป็นประจำทุกวัน แต่วิตามินสามารถช่วยเสริมในส่วนที่ร่างกายขาดได้ หากเลือกรับประทานอย่างเหมาะสม
วิตามินจำเป็นหรือไม่?
หากย้อนกลับไปสัก 10-20 ปีก่อน ที่ผักผลไม้และแหล่งอาหารต่างๆยังอุดมสมบูรณ์ด้วยแหล่งที่มาจากธรรมชาติ ไม่มีการใช้สารเคมีในการเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ ไม่มีมลพิษและแหล่งน้ำยังไม่เน่าเสียเหมือนในปัจจุบัน ทำให้สารอาหารต่างๆในอาหารแตละชนิดนั้นมีความสมบูรณ์ การรับประทานครบ 5 หมู่ในทุกๆวันก็อาจจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย แต่ในความเป็นจริงของสมัยนี้ที่มีการใช้สารเคมี และกรรมวิธีต่างๆในการปรุงอาหารนั้นส่งผลให้สารอาหารต่างๆในอาหารนั้นลดน้อยลง ทำให้การรับประทานอาหารในแต่ละวันอาจไม่เียงพออีกต่อไป ดังนั้น การรับประทานวิตามินเสริมจึงเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก
ถึงแม้ว่าวิตามินจะไม่สามารถทดแทนอาหารจานหลักได้ แต่วิตามินและแร่ธาตุเสริม 1 เม็ด มักจะอัดแน่นด้วยปริมาณแร่ธาตุและสารอาหารที่คนปกติอาจไม่สามารถรับได้จากการรับประทานอาหารเพียง 1 มื้อหรือ 1 วันเพื่อให้ได้สารอาหารเหล่านั้นเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เช่น ต้องกินฟักทอง 1 ผลเพื่อให้ได้เบตาแคโรทีน 2 มิลลิกรัม เท่ากับการรับประทานเบตาแคโรทีน 1 เม็ด ซึ่งคนปกติอาจไม่สามารถรับประทานฟักทองได้ถึง 1 ผล
วิตามินเป็นเกราะป้องกันร่างกายจากอนุมูลอิสระ
สามารถอธิบายง่ายๆได้ว่า สารอนุมูลอิสระ (Free Radicals) คือ ออกซิเจนรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีโครงสร้างไม่เสถียร ว่องไว ทำให้สามารถสร้างพันธะกับสารอื่นๆได้อย่างรวดเร็ว แต่จะเป็นการทำให้สารเหล่านั้นเกิดการเสื่อมสภาพ หรือที่เรียกว่า "ออกซิเดชั่น" และเมื่อร่างกายเกิดออกซิเดชั่นขึ้นมากๆก็จะส่งผลให้ร่างกายเกิดความเสื่อม ทำลายเม็ดเลือด ทำลายอวัยวะต่างๆ และเป็นสาเหตุของริ้วรอยแห่งวัยต่างๆนั่นเอง ดังนั้น สารอนุมูลอิสระเปรียบเสมือนยาพิษซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากทุกสภาวะที่ร่างกายของเราไม่ชอบ เช่น นอนดึก นอนไม่พอ สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า หรือเจอกับมลภาวะเยอะๆ เช่น ฝุ่น PM 2.5 ถึงแม้ว่าอนุมูลอิสระไม่ทำให้เกิดโรคในทันที แต่ก็เป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพในระยะยาว
วิตามินและเกลือแร่ เป็นเกราะป้องกันอนุมูลอิสระที่ดีและจำเป็นต่อร่างกายอย่างมาก การเสริมวิตามินและเกลือแร่ให้กับร่างกายอยู่เสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญและขาดไม่ได้
ยา คืออะไร?
ยา คือสิ่งที่ร่างกายไม่มี ยาส่วนใหญ่ผลิตจากสารเคมี เช่น ยาพาราเซตามอล ร่างกายเราไม่สามารถผลิตยาเองได้ ดังนั้น ยาจึงไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นในภาวะร่างกายปกติ ในทางกลับกัน ยามีไว้ใช้รักษาอาการผิดปกติของร่างกายที่มีอาการรุนแรง เช่น อาการปวดหัว ต้องได้รับยาพาราเซตามอลที่มีฤทธิ์ช่วยบรรเทาอาการปวดได้ ซึ่งยามีการออกฤทธิ์ที่เร็ว สามารถระงับอาการต่างๆได้ แตกต่างจากการรับประทานอาหารเสริมที่จะเข้าไปช่วยบำรุงและฟื้นฟูร่างกาย
หลักการใช้ยา
เมื่อรับประทานยาครบตามที่แพทย์สั่ง หรือใช้ยารักษาจนหายแล้ว ต้องหยุดใช้ยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เพราะยาบางชนิดไม่สามารถรับประทานต่อกัยเป็นระยะเวลานาน เพราะยาเป็นสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่ในร่างกายเราตามธรรมชาติ หากหายแล้วยังรับประทานยาต่อไปเรื่อยๆอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ เพราะยาส่วนใหญ่ผลิตจากสารเคมี ซึ่งมีโอกาสที่จะสะสมในร่างกายได้ค่อนข้างมากหากใช้เป็นประจำ อาจส่งผลเสียต่ออวัยวะในร่างกาย เช่น ตับ ไต สมองได้
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm
คอนแทคเลนส์ กับ 4 ข้อควรรู้ก่อนใส่ เพื่อสุขภาพดวงตาที่ดี
อย่ามองข้ามการดูแล "คอนแทคเลนส์"
เพื่อสุขภาพดวงตาที่ดี
"คอนแทคเลนส์" (Contact Lens) มีความสำคัญแทบจะเป็นปัจจัยที่ 5 ของบางคนเลยทีเดียว โดยเฉพาะผู้ที่มีสายตาสั้น ถ้าไม่ใส่แว่น ก็คงต้องใส่คอนแทคเลนส์กันทุกวัน แต่รู้หรือไม่ว่าคอนแทคเลนส์ที่เราใส่กันอยู่ทุกวันมีวิธีการดูแลและข้อควรระวังอะไรบ้าง ??
ประเภทของคอนแทคเลนส์ แบ่งตามวัสดุที่ใช้
- คอนแทคเลนส์ชนิดแข็ง ผลิตด้วย PMMA ซึ่งเป็นคอนแทคเลนส์รุ่นแรกๆของโลก คอนแทคเลนส์ชนิดนี้มีข้อเสียที่ไม่ยอมให้อ๊อกซิเจนผ่าน ปัจจุบันจึงเลิกใช้ไปแล้ว เพราะในปัจจุบันมีการคิดค้นวัสดุที่ใช้ผลิตคอนแทคเลนส์ชนิดแข็งที่ยอมให้อ๊อกซิเจนผ่านได้ดี ซึ่งส่งผลให้ใช้งานได้ดีกว่า
- คอนแทคเลนส์ชนิดแข็งที่ยอมให้อ๊อกซิเจนผ่านได้ดี (Rigid Gas Permeable Contact Lens, RGP) แน่นอนว่าพัฒนาต่อมาจากคอนเทคเลนส์ชนิดแข็งในยุคแรกๆ แต่คอนแทคเลนส์ชนิดนี้ก็ยังมีข้อเสียคือผู้ใส่รู้สึกระคายเคืองตามากกว่าการใส่คอนแทคเลนส์ชนิดนิ่มในช่วงแรก แต่มีคุณสมบัติบางอย่างที่ดีกว่าคอนแทคเลนส์ชนิดนิ่ม เช่น ยอมให้อ๊อกซิเจนผ่านได้ดี มีความคมชัดในการมองเห็นดีกว่า ทำให้ตาแห้งน้อยกว่า และสามารถแก้ไขปัญหากระจกตาบิดเบี้ยวได้ดีกว่า ซึ่งมีอายุการใช้งานที่นานกว่าและประหยัดกว่าในระยะยาว
- คอนแทคเลนส์ชนิดนิ่มไฮโดรเจล เป็นวัสดุที่ใช้ผลิตคอนแทคเลนส์ชนิดนิ่มส่วนใหญ่ในปัจจุบัน
- คอนแทคเลนส์ชนิดนิ่มวัสดุซิลิโคนไฮโดรเจล เป็นวัสดุใหม่ล่าสุดสำหรับคอนแทคเลนส์ชนิดนิ่ม มีคุณสมบัติที่ดีคือยอมให้อ๊อกซิเจนผ่านสูงกว่า 97% ส่งผลให้ดีต่อสุขภาพตามากกว่า
ประเภทของคอนแทคเลนส์ แบ่งตามลักษณะการใช้งาน
- แบบใส่เฉพาะตอนตื่น และถอดก่อนนอน ผู้ใส่จะต้องถอดเลนส์ก่อนนอนเสมอ ซึ่งเป็นคอนแทคเลนส์ชนิดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
- แบบใส่ต่อเนื่องนาน 6 วันโดยไม่ต้องถอด การใส่เลนส์นอนสามารถทำได้กับเลนส์บางรุ่นเท่านั้นและทำให้มีความเสี่ยงต่อดวงตาติดเชื้อสูงขึ้นกว่าการถอดเลนส์ก่อนนอนอย่างมาก
- แบบใส่ต่อเนื่องนาน 30 วันโดยไม่ต้องถอด ข้อเสียคือมีความเสี่ยงต่อดวงตาติดเชื้อสูงขึ้นกว่าการถอดเลนส์ก่อนนอนอย่างมาก
ด้วยความที่คนส่วนใหญ่มักจะเลือกใส่ คอนแทคเลนส์ แบบใส่เฉพาะตอนตื่น และถอดก่อนนอน เพราะฉะนั้น บทความนี้มี 4 ข้อควรรู้เกี่ยวกับตอนแทคเลนส์ชนิดนี้มากฝากกันค่ะ
1. ความสะอาด สำคัญที่สุด
ด้วยควมที่คอนแทคเลนส์ต้องสัมผัสกับดวงตาโดยตรง ความสะอาดในทุกๆขั้นตอน ตั้งแต่การเริ่มเปิดใช้งานจนถึงการล้างทำความสะอาดเมื่อใส่เสร็จนั้นสำคัญอย่างมาก เมื่อซื้อคอนแทคเลนส์มาครั้งแรก คอนแทคเลนส์จะถูกแช่มาในน้ำยาคนละชนิดกับน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ปกติ ดังนั้น หลังจากที่นำคอนแทคเลนส์ออกมาจากบรรจุภัณฑ์ครั้งแรก ต้องนำคอนแทคเลนส์มาล้างทำความสะอาดก่อน และแช่ในน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ทิ้งไว้อย่างน้อย 8 ชั่วโมง ก่อนนำมาใช้งานครั้งแรก ส่วนการใช้งานในครั้งต่อๆไปก็จำเป็นต้องล้างทำความสะอาดด้วยน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ทุกครั้งก่อนใช้งานทุกครั้งด้วย
- ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งด้วยสบู่ที่อ่อนโยน
- เช็ดมือให้แห้งสนิทก่อนใส่หรือถอดคอนแทคเลนส์ เพื่อไม่ให้มีน้ำเปล่าไปสัมผัสกับเลนส์
- ทำความสะอาดตลับใส่คอนแทคเลนส์ทุกวันและรอให้แห้งก่อนนำไปใช้ใส่เลนส์
- เปลี่ยนตลับเลนส์ใหม่ทุกๆ 3 เดือนเป็นอย่างน้อย
2. วิธีสังเกต คอนแทคเลนส์ ก่อนใส่
การใส่คอนแทคเลนส์ จะต้องใส่ให้ถูกด้านเพื่อให้ความโค้งของคอนแทคเลนส์รับกับดวงตา แต่การจะใส่ให้ถูกด้านนั้น สำหรับคอนแทคเลนส์สีอาจสังเกตได้จากลายของคอนแทคเลนส์ แต่สำหรับของคอนแทคเลนส์ใส จะสังเกตจากสีของคอนเทคเลนส์ไม่ได้ แต่ก็ยังมีวิธีในการสังเกตจากรูปร่างลักษณะของเลนส์แทนได้
ก่อนใส่คอนแทคเลนส์ทุกครั้ง ควรสังเกตว่าคอนแทคเลนส์อยู่ในด้านที่ถูกต้องตามภาพหรือไม่ แค่นี้ก็ทำให้ใส่คอนแทคเลนส์ได้อย่างถูกต้อง ไม่ระคายเคืองดวงตา
อีกข้อสำคัญก่อนจะสวมใส่คอนแทคเลนส์ ควรตรวจสภาพความพร้อมของดวงตาก่อนว่าดวงตาของคุณอยู่ในสภาพปกติ พร้อมที่จะใส่คอนแทคเลนส์หรือไม่ เช่น หากมีอาการตาแดง ตาแห้งจนรู้สึกแสบตา ไม่ควรใส่คอนแทคเลนส์และปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาดวงตาให้เป็นปกติก่อน
3. อายุการใช้งานที่ถูกต้องของ คอนแทคเลนส์
ในกรณีที่ใช้คอนแทคเลนส์ที่มีอายุการใช้งานสำหรับ 1 เดือน ถึงแม้หลังจากเปิดใช้งานไม่ได้ใส่ทุกวัน แต่ให้เริ่มนับอายุการใช้งานครบรอบ 1 เดือน หลังจากวันแรกที่นำคอนแทคเลนส์ออกจากบรรจุภัณฑ์ หลังจากครบรอบ 1 เดือนแล้ว ควรเปลี่ยนคอนแทคเลนส์คู่ใหม่ทันที
ส่วนคอนแทคเลนส์รายวัน เป็นคอนแทคเลนส์แบบใช้แล้วทิ้ง โดยมีอายุการใช้งานที่เหมาะสมอยู่ที่ครั้งละไม่เกิน 8 ชั่วโมง ดังนั้น ผู้ที่สวมใส่คอนแทคเลนส์แบบรายวันหรือรายเดือนก็ตาม ควรใส่คอนแทคเลนส์ไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมง เพื่อสุขภาพดวงตาที่ดี และไม่เป็นการรบกวนดวงตามากจนเกินไป
หากผู้ใส่คอนแทคเลนส์มีปัญหาตาแห้ง สามารถใช้น้ำตาเทียมหยอดตาเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้ดวงตาและคอนแทคเลนส์ได้ และไม่ควรสวมใส่คอนแทคเลนส์ทั้งๆที่รู้สึกว่าตาแห้งมาก เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ เช่น ผู้ที่รับประทานยากลุ่มวิตามินเอ จะมีผลข้างเคียงทำให้ผิวหนัง รวมถึงดวงตาแห้งมากกว่าปกติ จึงควรงดการสวมใส่คอนแทคเลนส์
4. คอนแทคเลนส์ ไม่ถูกกับ น้ำเปล่า
ถึงแม้ว่าเราจะสามารถใช้น้ำเปล่าชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากสิ่งต่างๆได้แทบทุกชนิด แต่ไม่ใช่สำหรับคอนแทคเลนส์นะคะ แน่นอนว่าทั้งก่อนและหลังการใส่คอนแทคเลนส์ทุกครั้ง และต้องล้างทำความสะอาดด้วยน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ก่อนทุกครั้ง โดยจำเป็นต้องใช้น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์โดยเฉพาะ ไม่ควรใช้อย่างอื่นแทน และไม่ควรให้คอนแทคเลนส์สัมผัสกับน้ำเปล่า เพราะน้ำเปล่าอาจมีสิ่งสกปรกปะปนและอยู่ในสภาพที่ไม่เหมาะสมกับการสัมผัสดวงตา ดังนั้น หลังการล้างมือรือล้างตลับคอนแทคเลนส์ก็ควรรอหรือเช็ดให้แห้งก่อนที่จะนำมือไปสัมผัสกับคอนแทคเลนส์
"ใช้สายตามาก บำรุงไม่ยากด้วย 4 พลังธรรมชาติ"
- Astaxanthin (สารสกัดจากสาหร่ายสีแดง) ฟื้นฟูภาวะเสื่อมของจอตา กระตุ้นการไหลเวียนของเส้นเลือดฝอยในจอตา
- Lutein (สารสกัดจากลูทีน) ช่วยกรองแสงสีฟ้า ปกป้องดวงตาจากแสงและอนุมูลอิสระ
- Bilberry (สารสกัดจากบิลเบอร์รี่) ลดอาการเมื่อยล้าของดวงตาและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นในที่มืด
- Vitamin E (วิตามินอี) คืนความชุ่มชื้นให้ดวงตา
มีสารสกัดจากธรรมชาติหลากหลายชนิดที่สามารถช่วยบำรุงสายตาได้ดี และยังช่วยลดอาการตาแห้งได้อีกด้วย เมื่อดวงตามีความชุ่มชื้นที่เหมาะสม ก็จะช่วยให้ใส่คอนแทคเลนส์ได้ดี ไม่มีอาการระคายเคือง
มีผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับโรคตาที่สัมพันธ์กับอายุ (Age-related eye diseases study) ของสถาบันจักษุแห่งชาติสหรัฐอเมริกา พบว่าการรับประทานสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี, วิตามินอี, เบต้าแคโรทีน, ลูทีน และซีแซนทีน ในปริมาณสูงเพียงพอ สามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมได้
คลิ้กเพื่อดูผลิตภัณฑ์บำรุงสายตา
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm
บร็อคโคลี่ และคุณสมบัติดีๆที่ไม่ควรมองข้าม
เชื่อว่าคนจำนวนไม่น้อยมักร้องยี๊!! เมื่อต้องรับประทานผักใบเขียวต่างๆ และผักสีเขียวยอดนิยมอีกหนึ่งอย่างก็คือ "บร็อคโคลี่" (Broccoli) ซึ่งเป็นผักในตระกูลกะหล่ำหรือคะน้าที่นิยมนำดอกอ่อนและก้านดอกมารับประทาน แต่รู้หรือไม่ว่า... การรับประทานบร็อคโคลี่แบบไหนจะได้ประโยชน์มากที่สุด และเราจะได้ประโยชน์อะไรบ้างจากการรับประทานผักชนิดนี้
บล็อคโคลี่ (Broccoli) อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายหลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินเอ วิตามินเค กรดโฟลิก โพแทสเซียม แคลเซียม กากใยอาหาร และยังเป็นผักที่มีโปรตีนค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับผักชนิดอื่นๆ โดยบร็อคโคลี่ 100 กรัมให้พลังงานประมาณ 34 กิโลแคลอรี
ทานดิบๆจะได้ประโยชน์มากที่สุด
หากต้องการได้รับสารอาหารและประโยชน์มากที่สุดจากบร็อคโคลี่ สามารถทานดิบๆได้เลย แต่อย่าลืมว่าการรับประทานผักหรือผลไม้ทุกชนิดต้องล้างให้สะอาดก่อนนะคะ ส่วนใครที่ไม่ไหวจะทนกับการรับประทานผักดิบๆ สามารถนำไปผ่านการปรุงได้ แต่ต้องไม่ผ่านกรรมวิธีปรุงอาหารที่มีระยะเวลานานเกินไป
ต้นอ่อนของ บร็อคโคลี่ ช่วยต่อต้านโรคมะเร็งได้
ต้นอ่อนของบร็อคโคลี่ เป็นส่วนหนึ่งที่หลายๆคนน่าจะชอบรับประทานกันอยู่ ไม่เพียงแต่ความอร่อยที่ได้รับ แต่ยังอุดมด้วยคุณประโยชน์มากมายที่คุณอาจยังไม่เคยรู้มาก่อน โดยต้นอ่อนของบร็อคโคลี่สามารถช่วยต่อต้านโรคมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
มีการนำพืชหลายชนิดมาทำการวิจัยเพื่อค้นหาสารสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อการต่อต้านโรคมะเร็ง ซึ่งแน่นอนว่าบร็อคโคลี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะจากการศึกษาพบว่าใบและลำต้นของ บร็อคโคลี่ มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ เช่น สารประกอบในกลุ่มฟีนอลิก ซึ่งอาจช่วยลดการอักเสบและความเสียหายของเซลล์ต่างๆที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ นอกจากนี้ ในบร็อคโคลี่ ยังมีสารอินโดล-3-คาร์บินอล ซึ่งนักวิจัยคาดว่าอาจช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้อีกด้วย
บร็อคโคลี่ มีวิตามินซีและแคลเซียมสูงมาก
ด้วยวิตามินซีที่สูงมาก สามารถช่วยต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มภูมิคุ้มกัน บำรุงผิวพรรณ ช่วยบำรุงและรักษาสายตา และยังสามารถป้องกันการเกิดต้อกระจกได้อีก้ดวย เรียกได้ว่า บล็อคโคลี่เป็นผักที่มีประโยชน์มากมาย และไม่ควรมองข้ามเลยนะคะ
คลิ้กเพื่ออ่าน >> วิตามินซีธรรมชาติ VS วิตามินซีสังเคราะห์
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm
กระดูกพรุน ทำไมคนไทยมีความเสี่ยงมากกว่าชาติใดในโลก ?
รู้หรือไม่? อายุยิ่งมาก...ความหนาแน่นของมวลกระดูกยิ่งลด! ส่งผลให้เกิดโรค กระดูกพรุน
โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) คือ ภาวะที่กระดูกบางลง หักง่าย เมื่อได้รับอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อย โดยเฉพาะกระดูกสะโพก กระดูกต้นขา หรือหลังโค้งงอ เนื่องจากกระดูกสันหลังยุบตัวเข้าหากัน ซึ่งพบมากในสตรีวัยหมดประจำเดือนและสูงอายุ เพราะขาดฮอร์โมนในการสร้างกระดูก
3 เหตุผลที่คนไทยอาจมีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนมากกว่าชาติอื่นๆ
กรรมพันธุ์ กระดูกพรุน ที่มากับผิวขาวของสาวเอเชีย
ถึงแม้ว่าประเภทผิว และจำนวนเม็ดสีของสาวเอเชียจะสามารถเอื้อต่อการดูดซึมวิตามิน
หนีแดดเพราะกลัวดำ พฤติกรรมหลบวิตามินดี
แสงแดดเป็นเหมือนศัตรูตัวร้ายของสาวๆที่อยากมีผิวขาว ก็จะพยายพามหลบแดดกันให้มากที่สุด เพราะกลัวรังสี UVA/UVB จะเผาผิวสวยให้เสียไป แต่จริงๆแล้วแสงแดดนั้นมีประโยชน์ดีๆที่ส่งผลถึงกระดูกเชียวนะ! ในแสงแดดยามเช้ายังมีวิตามินดีที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต รวมถึงเสริมสร้างกระดูกและฟันอีกด้วย ดังนั้น หากร่างกายขาดวิตามินดีก็จะส่งผลกระทบต่อกระบวนการของกระดูกและฟันในร่างกายไปด้วย
นอกจากนี้วิตามินดียังมีหน้าที่สำคัญในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (Immune System) การที่สาวๆหลบแดดก็เหมือนการหลบวิตามินดีไปด้วยนั่นเอง แทนที่จะหลีกเลี่ยงแดดตลอดเวลา ลองออกมาสัมผัสแสงแดดอ่อนๆยามเช้า เลือกช่วงเวลาที่แดดอ่อนๆพอนะคะ
อาหารโซเดียมสูงแคลเซียมต่ำ ทำแคลเซียมสลาย
อีกพฤติกรรมที่มีผลกระทบต่อระบบร่างกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ "พฤติกรรมการรับประทาน" นั่นเอง ลองสังเกตพฤติกรรมการประทานอาหารของตัวคุณเองดูว่าชอบรับประทานอาหารแบบไหน ซึ่งอาหารจานโปรดของชาวไทยส่วนมากจะเป็นอาหารที่มีรสค่อนข้างจัด หนักเครื่องปรุง แม้จะมีผักหรือเนื้อสัตว์ที
ในทางกลับกันหากคุณต้องการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และช่วยลดโอกาสการเกิดโรคกระดูกพรุนได้ คุณต้องรับประทานอาหารที่มี "แคลเซียม" การจะเสริมแคลเซียมให้กับร่างกายต้องรู้ก่อนว่าเราจะพบแคลเซียมได้จากอาหารประเภทไหนบ้าง ซึ่งเราสามารถพบแคลเซียมได้ในน้ำนม น้ำส้ม ปลา บรอกโคลี ถั่วเปลือกแข็ง งา สาหร่ายทะเล แต่ต้องรับประทานในปริมาณที่มากพอถึงจะได้รับแคลเซียมที่เพียงพอในแต่ละวัน หรือง่ายกว่านั้นคือการเลือกรับประทานผลิตภัรฑ์เสริมอาหารที่มีแคลเซียมเป็นส่วนประกอบหลัก ก็สามารถช่วยให้ร่างกายได้รับแคลเซียมในปริมาณที่มากพอ ช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุนได้
ประมาณ 99% ของแคลเซียม ( คลิ้กเพื่ออ่านบทความเกี่ยวกับแคลเซียม ) ในร่างกายจะถูกนำไปใช้ในกระบวนการสร้างกระดูก ฟัน เล็บ และผม ทำให้กระดูกและฟันมีความหนาแน่นแข็งแกร่ง ส่วนแคลเซียมอีก 1% จะไหลเวียนอยู่ในเลือด ดังนั้น แคลเซียมจึงมีความสำคัญต่อร่างกายอย่างมาก และเป็นสารสำคัญในการช่วยลดโอกาสการเกิดโรคกระดูกพรุน
นอกจากนี้แคลเซียมในเลือดยังมีประโยชน์ต่อร่างกายในหลายๆด้าน เช่น
- มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงานของมวลกล้ามเนื้อ
- มีผลต่อสารสื่อประสาท
- ป้องกันการไหลของเลือดเมื่อเกิดบาดแผล
- มีผลต่อการเต้นของหัวใจ
- ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้
ร่างกายจะเริ่มสะสมแคลเซียมในกระดูกตั้งแต่วัยเด็ก และจะสะสมมากที่สุดในช่วงวัยรุ่น ผู้หญิงจะมีแคลเซียมสูงถึง 90% เมื่ออายุ 18 ปี และผู้ชายในอายุ 20 ปี โดยทั้งสองเพศจะมีระดับแคลเซียมในร่างกายสูงสุดเมื่ออายุ 30 ปี หลังจากนี้จะไม่มีการสะสมแคลเซียมแล้ว หากร่างกายได้รับแคลเซียมจากอาหารไม่มากพอกระดูกจะเริ่มผุ หลังจากผู้หญิงหมดประจำเดือนแล้ว 5-7 ปี ผู้หญิงจะมีการสูญเสียความหนาแน่นของกระดูกประมาณ 3-5% ต่อปี ซึ่งอาจสูงถึง 20% ของมวลกระดูกทั้งหมด
อย่าปล่อยให้ภัยเงียบจาก กระดูกพรุน เกิดขึ้นกับตัวคุณแล้วค่อยรักษา
ความหนาแน่นของมวลกระดูกนั้นจะลดน้อยลงไปตามกาลอายุ เมื่ออายุมากขึ้น ประกอบกับพฤติกรรมการใช้ชีวิต และปัจจัยทางด้านฮอร์โมนต่างๆมักจะทำให้ความหนาแน่นของมวลกระดูกน้อยลงไปเรื่อยๆ ความต้องการของแคลเซียมเพิ่มขึ้นตามวัยโดยเฉพาะผู้สูงอายุ ดังนั้น การเสริมแคลเซียม ซึ่งช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ อย่าปล่อยให้รู้ตัวเมื่อสายเกินแก้ หมั่นเสริมแคลเซียมให้กับร่างกายในทุกๆวัน ด้วยการรับประทานอาหารที่ถูกต้องตามโภชนาการ ออกไปสัมผัสแสงแดดอ่อนๆบ้าง หรือเลือกวิธีที่ง่ายกว่านั้น คือการรับประทานแคลเซียมเป็นประจำก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยให้คุณห่างไกลจากโรคกระดูกพรุนได้นะคะ ทีนี้เรามาดูกันว่าร่างกายในแต่ละวัยมีความต้องการแคลเซียมแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
- เด็ก (1-10 ปี) ควรได้รับแคลเซียมวันละ 800 มิลลิกรัม
- วัยรุ่น (11-25 ปี) ควรได้รับแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลิกรัม
- วัยผู้ใหญ่ (25 ปีขึ้นไป) ควรได้รับแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลิกรัม
- สตรีมีครรภ์และให้นมบุตร ควรได้รับแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลิกรัม
- ผู้ประสบอุบัติเหตุกระดูกหัก ควรได้รับแคลเซียมวันละ 1,500 มิลลิกรัม
ผู้หญิงและผู้ชายที่มีอายุระหว่าง 19-50 ปี ต้องการแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลิกรัม เมื่ออายุมากกว่า 50 ปี ต้องการ 1,200 มิลลิกรัม
ดังนั้น คนในแต่ละช่วงวัยควรเลือกการรรับประทานเพื่อเสริมแคลเซียมในปริมาณที่เหมาะสมกับช่วงวัยของตนเองด้วย จึงจะช่วยให้ร่างกายห่างไกลจากโรคกระดูกพรุนได้
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm
ผมบาง หรือไม่? แค่มีไม้บรรทัดก็วัดได้เลย!
ผมบาง หรือไม่? แค่มีไม้บรรทัดก็วัดได้เลย!
ผมบาง คงเป็นปัญหาหนักใจของทั้งผู้ชายและผู้หญิง ไม่ว่าจะผมทรงไหนๆความมั่นใจก็น้อยลงไปตามเส้นผมที่น้อยลงไปทุกวัน คุณอาจรู้สึกว่าในหนึ่งวันคุณมีปริมาณผมร่วงเยอะมาก แต่จริงๆแล้วการมีผมร่วงบ้างนั้นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเส้นผมและหนังศีรษะต้องมีการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวหนัง และเส้นผมที่เสื่อมสภาพแล้วก็ต้องผลัดเปลี่ยนด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นหากคุณมีผมร่วงบ้างยังนับว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าผมร่วงในปริมาณที่เยอะมากๆ อาจจะเป็นการฟ้องถึงการผิดปกติของร่างกายแล้วล่ะ และนั่นยังไม่น่ากังวลเท่ากับการที่ผมร่วงไปแล้วไม่ขึ้นมาอีก!! ถ้าเป็นอย่างนั้นคงไม่ดีแน่ๆ
แล้วคุณสงสัยหรือไม่ว่าผมที่ร่วงอยู่ทุกวันนี้มีปริมาณเยอะเกินไปจนทำให้คุณกลายเป็นคนผมบาง หรือมีความผิดปกติจนควรต้องกังวลใจกันแล้วหรือยัง ? บทความนี้เรามีวิธีเช็คอย่างง่ายๆว่าคุณเข้าข่ายผมบาง แล้วหรือยัง โดยใช้แค่อุปกรณ์หาง่าย ใกล้ตัวอย่างไม้บรรทัดหรือสายวัดมาฝากกันนะคะ
ถ้าพร้อมแล้ว... มาเริ่มกันเลย !
แสกกว้างขนาดนี้ เข้าข่าย ผมบาง หรือยังนะ?
เริ่มด้วยปัญหาหนักใจของสาวๆ คือเวลาแสกผมแล้วเห็นได้ชัดว่าผมบาง จะทำให้เห็นหนังศีรษะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เพียงแค่คุณลองสังเกตดูว่าเมื่อแสกผมแล้วความบางของเส้นผมทำให้เห็นหนังศีรษะค่อนข้างชัดเจนจนมีความกว้างถึง 1 เซนติเมตรแล้วหรือยัง
ถ้าความบางของเส้นผมกระจายกว้างจนเริ่มเกินระยะ 1 เซนติเมตรแสดงว่าคุณกำลังเจอกับปัญหาเข้าแล้วล่ะ
เบื้องต้นง่ายๆ แน่นอนว่าคุณอาจต้องบำรุงดูแลเพื่อลดการหลุดร่วงของเส้นผมให้มากขึ้น อย่าลืม! การดูแลเพื่อลดปัญหาผมร่วงผมบาง ไม่ใช่แค่การดูแลเส้นผมที่สาวๆมักให้ความสำคัญกันเป็นหลัก แต่ต้องดูแลไปถึงบริเวณ "หนังศีรษะ" ด้วย เพราะหนังศีรษะเป็นส่วนสำคัญที่ยึดเส้นผมของเราไว้ เมื่อหนังศีรษะเกิดความสมดุล รูขุมขนเป็นปกติก็จะทำให้ยึดเส้นผมเอาไว้ได้ดีจนถึงเวลาอันควร แต่หากหนังศีรษะมันเกินไป มีการผลิตน้ำมันออกมามากจนเกินไป ทำให้รูขุมขนกว้าง โอกาสที่จะทำให้เส้มผมหลุดร่วงออกมาก่กอนถึงเวลาอันควรก็มีมากตามไปด้วย ทำให้เกิดการผมร่วง และผมบางในที่สุด แต่หากหนังศีรษะแห้งจนเกินไปจนเกิดอาการลอกเป็นรังแคก็อาจเป็นสาเหตุของผมที่หลุดร่วงจนผมบางได้เช่นกัน ดังนั้น การรักษาสภาพความสมดุลของหนังศีรษะก็สำคัญไม่แพ้การบำรุงเส้นผมเลยนะคะ
ที่ช่วยสาวๆได้ในระยะสั้นๆ คือการเปลี่ยนวิธีการแสกผมบาง เช่น ถ้าปกติแสกกลาง อาจลองเปลี่ยนมาแสกซ้ายหรือขวาดูบ้างก็ได้นะคะ
ส่วนคุณผู้ชายที่มักมีปัญหาผมบางในส่วนของหน้าผาก โดยแต่ละคนจะมีรูปทรงของผมบริเวณไม่เหมือนกัน อาจต้องสังเกตก่อนว่ารูปทรงผมของคุณนั้นเป็นแบบไหน ซึ่งสามารถแบ่งออกง่ายๆได้เป็น 2 ลักษณะตัว คือ
- ผมบางในรูปแบบตัว O
- ผมบางในรูปแบบตัว M
ผมบาง ในรูปแบบตัว O
คุณผู้ชายที่มีทรงผมในรูปแบบของตัว O คือ มีไรผมบริเวณหน้าผากเป็นส่วนโค้งคล้ายรูปครึ่งวงกลม สำหรับผู้ชายที่มีผมบริเวณด้านหน้าโค้งเป็นรูปตัว O นั้น หากมีระยะห่างจากบริเวณหัวคิ้วไปถึงไรผมด้านบนเกินกว่า 6 เซนติเมตร แสดงว่าปัญหาผมบางเริ่มมาเยือนคุณแล้วนั่นเอง
ผมบาง ในรูปแบบตัว M
คุณผู้ชายบางคนอาจมีทรงผมด้านหน้าเป็นรูปตัว M สามารถวัดระยะห่างระหว่างบริเวณหัวคิ้วกับส่วนที่ลึกที่สุด หากมีระห่างมากกว่า 8 เซนติเมตร ก็ต้องหาวิธีดูแลปัญหาผมบางกันแล้วนะคะ
วิธีเบื้องต้นที่จะช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผมก็คือ การพิถีพิถันขึ้นอีกนิดกับการดูแลเส้นผมในทุกๆวัน
- เลือกใช้แชมพูสระผมที่อ่อนโยนต่อเส้นผมและหนังศีรษะ และเหมาะกับสภาพเส้นผม
- ใช้ครีมนวดผมเพื่อเป็นการปิดเกล็ดผม ช่วยให้เส้นผมมีสุขภาพดี
- สระผมให้ถูกวิธี โดยการนวดที่ผมและหนังศีรษะอย่างเบามือ หลีกเลี่ยงการสระที่รุนแรงเพราะจะยิ่งทำให้ผมขาดร่วงได้ง่าย
- หลีกเลี่ยงการสระผมด้วยน้ำอุ่น
- หลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนกับเส้นผมบ่อยๆ
- หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีที่รุนแรงต่อเส้นผมและหนังศีระษะ
- ควรพักระยะห่างในการย้อมผม หรือการดัดผมด้วยสารเคมีพอสมควร
- ไม่หวีผมหรือเช็ดผมอย่างรุนแรงในขณะที่ผมเปียก
- หากใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม ต้องล้างออกให้สะอาดทุกครั้งเพื่อไม่ให้เกิดการอุดตันที่หนังศีรษะ
- ไม่นอนทับเส้นผมในขณะที่ผมยังเปียก หลีกเลี่ยงโอกาสเสี่ยงในการเกิดเชื้อราบนหนังศีรษะ
ทีนี้เรามาดูต้นเหตุของปัญหาผมบางที่เกิดจากปัจจัยภายในกันบ้าง คุณเคยสงสัยมั้ยว่าทำไมปัญหาผมบางมักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
คำตอบคือ เพราะต้นตอของปัญหาผมบางมาจากฮอร์โมนเพศชายที่ชื่อ "Dihydrotestosterone หรือ DHT" นั่นเอง ซึ่งจริงๆแล้วฮอร์โมนนี้พบได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง เพราะฉะนั้นทั้งผู้ชายและผู้หญิงต่างมีโอกาสที่จะพบปัญญาผมบางได้หากมี DHT อยู่มากเกินที่ผิวหนัง ฮอร์โมน DHT จะมีการกระตุ้นให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังใหญ่ขึ้น ผิวหนังรวมถึงบริเวณหนังศีรษะก็จะผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ส่งผลให้รูขุมขนกว้างขึ้น ประสิทธิภาพในการยึดเส้นผมอาจลดลง ทำให้เส้นผมหลุดร่วงได้ง่ายมากขึ้นนั่นเอง และเมื่อมีฝุ่นหรือสิ่งสกปรกมาจับกับน้ำมัน ก็อาจเกิดการอุดตันเป็นสิวอักเสบขึ้นมาได้อีกด้วย
ฮอร์โมน DHT ยังจับกับเซลล์สร้างเส้นผม และออกฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการสร้างเส้นผมปกติ ทำให้เส้นผมใหม่ที่ขึ้นมาทดแทนเส้นผมเดิมที่ร่วงไป มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ จนทำให้เกิดภาวะผมบาง และศีรษะล้านตามมาในที่สุด
"ผมบาง ไม่ต้องเครียด แค่บำรุงให้ถูกจุดด้วย Restiv"
Restiv ถูกพัฒนามาเพื่อช่วยลดปัญหาผมบางโดยเฉพาะ โดยการพยายามแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของผมบาง นั่นก็คือ การมีปริมาณฮอร์โมน DHT มากเกินไปทั้งในผู้ชายและผู้หญิง ดังนั้น Restiv จึงมาพร้อมสารออกฤทธิ์หลักสกัดจากธรรมชาติ คือ "PROCAPIL-N" ซึ่งประกอบด้วย
- Oleanolic acid ออกฤทธิ์ในการลดปริมาณฮอร์โมน DHT
- Apigenin ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบไหลเวียนโลหิต ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการหล่อเลี้ยงเส้นผม
- Biotinyl-GHK เป็นโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบการสร้างเส้นผมใหม่
ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ ทำให้ Restiv สามารถตอบโจทย์ปัญหาผมบางได้อย่างปลอดภัย และยังสามารถใช้ได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง เพราะมาในรูปแบบโฟมที่ใช้ง่าย ซึมไว ไม่เหนียวเหนอะหนะ
นอกจากฮอร์โมนแล้ว ยังมีอีกหลายปัจจัยที่อาจทำให้เกิดปัญหาผมร่วง ผมบางได้ เช่น
- การใช้สารเคมีที่รุนแรงต่อเส้นผมและหนังศีรษะ
- ผมร่วงและหนังศีรษะล้านจากกรรมพันธุ์
- ความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย
- การตั้งครรภ์และผมร่วงหลังคลอด
- ภาวะความเจ็บปวดทางร่างกายและจิตใจ
- การใช้ยาบางประเภทที่มีความเข้มข้นสูง เช่น วิตามินเอที่ใช้ในการรักษาสิวตามที่แพทย์สั่ง
- การลดน้ำหนัก จนทำให้เกิดภาวะขาดสารอาหาร
- อายุที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้การทำงานของเซลล์ต่างๆในร่างกายเสื่อมลง
จะเห็นได้ว่าภาวะการเกิดผมบางนั้นอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนั้น นอกจากการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับปัญหาแล้ว ยังควรรับประทานอาหารที่ถูกต้องตามโภชนาการและรักษาสุขภาพร่างกาย รวมถึงจิตใจให้แข็งแรงอยู่เสมอด้วยนะคะ
ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่ https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/
ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm