สาระน่ารู้

ภูมิคุ้มกัน ดี เหมือนมีบอดี้การ์ดส่วนตัว

ร่างกายของเรามาพร้อมกับพลังปกป้องที่ทำให้ร่างกายพ้นจากการคุกคามของสิ่งรอบข้าง และยังมีพลังในการบำบัดรักษาตัวเองได้ ซึ่งพลังนี้เรียกว่า

" พลังภูมิคุ้มกัน " 

 

ภูมิคุ้มกัน

หน้าที่หลักของ ภูมิคุ้มกัน

หน้าที่ของระบบภูมิคุ้มกัน คือ การปกป้องร่างกายจากการติดเชื้อ การดูแลรักษาสุขภาพ และการป้องกันโรคและความเสื่อมถอย ซึ่งจริงๆคือการป้องกันร่างกายจากอาการเจ็บป่วยทางร่างกาย การเจ็บป่วยทางจิต รวมถึงโรคมะเร็งที่เกิดจากกลายของเซลล์ (mutation) นั่นเอง

การทำงานของระบบ ภูมิคุ้มกัน

  • ป้องกันการติดเชื้อ จากเชื้อไวรัสที่ก้อโรค เช่น ไข้หวัดใหญ่ และแบคทีเรียก่อโรค
  • ดูแลสุขภาพ ช่วยให้ร่างกายฟื้นจากอาการอ่อนเพลียหรือเจ็บป่วยและความเครียด เสริมสร้างให้ร่างกายแข็งแรง
  • ป้องกันความเสื่อมถอย เสริมสร้างเมแทบอลิซึมให้สมบูรณ์ ช่วยให้ส่วนต่างๆในร่างกายทำงานได้ดี ป้องกันความเสื่อมถอยของโครงสร้างต่างๆ ภายในเซลล์

เมื่อภูมิคุ้มกันสูงขึ้น

✔ ยับยั้งการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง โดยการทำลายเซลล์มะเร็งกว่าวันละ 5,000 เซลล์ที่ก่อตัวขึ้น

✔ ป้องกันอาการเจ็บป่วยทางจิต เช่น โรคซึมเศร้า เพราะแบคทีเรียในลำไส้ส่งสารแห่งความสุขไปยังสมองได้

เมื่อสมดุลของภูมิคุ้มกันเสียไป

✖ ก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยจากภูมิแพ้ เช่น ผิวหนังผื่นแพ้ หอบหืด แพ้ละอองดอกไม้หรือไข้ละอองฟาง

✖ ก่อให้เกิดการเจ็บป่วยจากภาวะภูมิคุ้มกันต้านตนเอง ก่อให้เกิดการเจ็บป่วยจากการทำลายเนื้อเยื่อในร่างกายด้วยภูมิคุ้มกันของตัวเอง

 

ลำไส้

"ลำไส้ดี" มีผลต่อภุมิคุ้มกัน

รู้หรือไม่ ?? เซลล์ที่เกี่ยวข้องกับภุมิคุ้มกันส่วนใหญ่อยู่ที่เยื่อบุลำไส้ เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย

การเพิ่มการทำงานของแบคทีเรียในลำไส้

✔ รับประทานอาหารประเภทธัญพืช พืชผัก ถั่ว ผลไม้

✔  รับประทานอาหารประเภทหมักดองในปริมาณที่เหมาะสม

✔  รับประทานอาหารที่มีเยื่อใยและน้ำตาลโอลิโกแซ็กคาไรด์

✔  หลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูปหรืออาหารที่มีสารปรุงแต่ง

✔  เคี้ยงอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน

✔  ออกกำลังกายพอเหมาะ

 

วิตามินซี

ภูมิคุ้มกันดี "วิตามินซี" ช่วยได้

วิตามินซี ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย สร้างเม็ดเลือดขาว จึงสามารถป้องกันการเป็นหวัดได้ รวมถึงเมื่อร่างกายมีโรคหวัด การรับประทานวิตามินซีก็สามารถช่วยลดระยะเวลาในการเจ็บป่วยให้น้อยลงได้

(คลิกเพื่ออ่าน >> อาการเมื่อร่างกายขาดวิตามินซี)

 

ความเครียด

ความเครียด ทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง

อีกหนึ่งสิ่งที่หลายคนอาจมองข้าม คือ "ความเครียด" เพราะความเครียด กระตุ้นร่างกายใน 2 ทาง ทางหนึ่งคือกระตุ้นผ่านระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งตอบสนองอย่างฉับพลันต่อความเครียด ส่งผลให้มีการหลังอะดรีนาลินซึ่งทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง และอีกทางหนึ่งคือ การตอบสนองของไฮโปทาลามัส-ต่อมใต้สมอง-ต่อมหมวกไต ทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลงเช่นกัน พูดง่ายๆคือ เมื่อมีความเครียดมาก พลังภูมิคุ้มกันจะลดลงนั่นเอง

 

ภูมิคุ้มกัน

ทำแบบนี้ดีต่อระบบ ภูมิคุ้มกัน

การเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่ดีนั้น เรียกได้ว่าต้องเสริมทั้งจากการรับประทานและจิตใจที่ดี เพราะสภาพจิตใจก็มีผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน เพราะปริมาณฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับประสาทอัตโนมัติมีอิทธิพลต่อระบบภูมิคุ้มกัน

✔ รับประทานอาหารประเภทธัญพืช พืชผัก ถั่ว ผลไม้

✔ รับประทานอาหารประเภทผ่านการหมักดอง เช่น นัตโต กิมจิ โยเกิร์ต

✔ รับประทานอาหารที่มีเยื่อใย น้ำตาล โอลิโกแว็กคาไรด์ (Oligosaccharide) หรือสารประเภทน้ำตาล

✔ พยายามหลีกเลี่ยงอาหารประเภทที่มีสารปรุงแต่ง เช่น สารกันบูด

✔ เสริมสร้างความคิดเชิงสร้างสรรค์

✔ สัมผัสกับธรรมชาติให้มากขึ้น

✔ ออกกำลังกายอย่างพอเหมาะ

✔ หลีกเลี่ยงความเครียดต่างๆ

✔ ยิ้มและหัวเราะให้มากขึ้น

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


5 วิธี ล้างผัก สะอาด เพื่อสุขภาพที่ดีในทุกๆมื้อ

มือใหม่หัดปรุงต้องรู้!

5 วิธี ล้างผัก ให้สะอาดปลอดภัยอย่างง่ายๆ

 

เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าการรับประทานนั้นสำคัญมากๆสำหรับสุขภาพที่ดี ในทุกๆมื้อหลักควรมีสารอาหารครบ 5 หมู่ และแน่นอนว่าสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ ผักผลไม้ต่างๆ เพราะมีวิตามินและเกลือแร่ รวมถึงไฟเบอร์ที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างมาก ดังนั้นสิ่งที่เรามักได้ยินกันบ่อยๆก็คือ กินผักเยอะๆแล้วจะดี แต่อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่หลายคนอาจมองข้ามก็คือ ความสะอาดของผักผลไม้ที่เรารับประทานเข้าไป

เพราะสมัยนี้การเพาะปลูกผักและผลไม้ อาจมีการใช้สารเคมีในการกำจัดแมลงทำให้มีสารตกค้างอยู่บนผักและผลไม้ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายและมีการสะสมในร่างกายได้ ดังนั้น เราควรให้ความสำคัญกับการล้างทำความสะอาดสิ่งสกปรกและสารตกค้างให้มากที่สุด มีหลากลหายวิธีล้างผักสุดแสนจะง่าย ที่คุณสามารถหยิบจับสารต่างๆที่มีภายในบ้านมาช่วยล้างผักผลไม้ให้สะอาดได้

 

ล้างผัก

1. ใช้โซเดียมไบคาร์บอเนต (ผงฟู)

ใช้ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำอุ่น 20 ลิตร แช่ไว้ 15 นาที และล้างด้วยน้ำสะอาดปริมาณมาก เพื่อไม่ให้ผงฟูตกค้าง

ลดปริมาณสารพิษ 90-95%

 

น้ำส้มสายชู

2. ใช้น้ำส้มสายชู

กรดน้ำส้มความเข้มข้นร้อยละ 5 ผสมน้ำในอัตราส่วน 1 ต่อ 10 แช่ไว้ 10-15 นาที และล้างด้วยน้ำสะอาดปริมาณมาก

ลดปริมาณสารพิษ 60-84 %

 

ล้างผัก

3. ใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์

1 ช้อนชา ผสมน้ำ 4 ลิตร แช่ไว้ 10 นาที และล้างด้วยน้ำสะอาดปริมาณมาก

ลดปริมาณสารพิษ 35-50 %

 

ด่างทับทิม

4. ใช้ด่างทับทิม

20-30 เกร็ด ผสมน้ำ 4 ลิตร แช่ไว้ 10 นาที และล้างด้วยน้ำสะอาดปริมาณมาก ควรใช้ตามปริมาณที่ระบุเพราะหากใช้มากเกินไปจะระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร ระบบหายใจ และถ้าเข้าตาอาจทำให้ตาบอดได้

ลดปริมาณสารพิษ 35-43 %

 

เกลือล้างผัก

5. ใช้เกลือป่น

1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 4 ลิตร แช่ไว้ 10 นาที และล้างด้วยน้ำสะอาดปริมาณมาก

ลดปริมาณสารพิษ 27-38 %

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


พักผ่อน ยังไง ให้สบายกาย สบายใจ สบายตา

" พักผ่อน " 

ทั้งที ต้องพักให้สบายทั้งกายและใจ

 

การ พักผ่อน นั้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคน ถึงแม้ว่าแต่ละช่วงวัยจะมีความต้องการในการพักผ่อนที่แตกต่างกัน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกๆคนก็จำเป็นช่วงเวลาที่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เพื่อให้ร่างกายได้พัก ฟื้นฟู พร้อมที่จะทำกิจกรรมอื่นๆต่อไป โดยการพักผ่อน ไม่จำเป็นต้องหมายถึงการนอนหลับเพียงอย่างเดียวนะคะ คุณสามารถพักผ่อนได้ด้วยการใช้ช่วงเวลาดีๆ ผ่อนคลาย ทำให้ร่างกายและจิดตใจรู้สึกสบาย

แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ร่างกายนะคะที่ต้องการการพักผ่อน แต่จิตใจก็มีผลต่อสุขภาพโดยรวม ต้องการการพักผ่อนเช่าเดียวกัน ซึ่งการพักผ่อนจิตใจ ทำใจให้สบายนั้นเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่มักมองข้ามไป วันนี้เราจะพามาดูวิธีพักผ่อนที่ทำให้คุณได้พักทั้งกายและใจค่ะ

พักผ่อน

1. ปล่อยใจให้สบาย ทิ้งเรื่องงานไว้ที่ออฟฟิศ

การที่คุณจะพักผ่อนได้ ไม่ใช่การหอบพาร่างหายไปในที่สบายๆ แต่ต้องทิ้งเรื่องงาน เรื่องไม่สบายใจไว้ข้างหลังด้วย เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณจะพาไป พักผ่อน ก็คือ ร่างกายบวกกับจิตใจที่สบาย ไม่เครียด ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นการพักผ่อนให้สบายทั้งกายและใจที่แท้จริง

หลายคนอาจรู้สึกว่างานเป็นส่วนสำคัญที่สุดในชีวิตช่วงหนึ่งๆ แต่ความจริงแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดอาจเป็น สุขภาพร่างกาย และสุขภาพจิตใจที่ดีต่างหาก เพราะถ้าหากคุณไม่มีร่างกายที่แข็งแรงและจิตใจที่พร้อมทำงาน คุณก็อาจไม่สามารถโฟกัสกับงานที่ทำได้เลย ดังนั้น การแบ่งเวลาที่เหมาะสม และเห็นความสำคัญของการพักผ่อน เป็นส่วนที่สำคัญของการทำงานเช่นเดียวกับการลงมือทำเลยล่ะ

วิธีง่ายๆ คือ คุณอาจแบ่งเวลาที่แน่นอน หรือกำหนดกิจวัตรประจำวัน ประจำสัปดาห์ ประจำเดือนไว้ว่า คุณจะต้องหาเวลาเพื่อพักผ่อนทั้งหมดกี่ครั้งใน 1 สัปดาห์ เพื่อให้มั่นใจได้ว่า อย่างน้อยๆคุณจะมีโอกาสได้พักชาร์จพลังบ้างในรอบ 7 วันที่ทำงานมาอย่างหนัก ควรมีสัก 1 วันที่คุณได้พักผ่อน ให้รางวัลตัวเอง และให้ร่างกายกับสภาพจิตใจได้ฟื้นฟูบ้าง

 

2. การ พักผ่อน โดยการนอนหลับ

การนอนหลับ เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆในการมีสุขภาพที่ดี โดยมูลนิธิการนอนหลับแห่งชาติ ในสหรัฐอเมริกาเคยให้ข้อมูลเกี่ยวกับการนอนหลับที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัยไว้ ดังนี้

  • เด็กแรกเกิด (อายุ 0-3 เดือน) ควรนอน 14-17 ชั่วโมงต่อวัน
  • เด็กทารก (อายุ 4-11เดือน) ควรนอน 12-15 ชั่วโมง
  • เด็ก (อายุ 1-2 ปปี) ควรนอน 11-14 ชั่วโมง
  • วัยอนุบาล (3-5 ปี) ควรนอน 10-13 ชั่วโมง
  • วัยประถม (6-13 ปี) ควรนอน 9-11 ชั่วโมง
  • วัยมัธยม (14-17 ปี) ควรนอน 8-10 ชั่วโมง
  • วัยรุ่น (18-25 ปี): ควรนอน 7-9 ชั่วโมง
  • วัยทำงาน (26-64 ปี): ควรนอน 7-9 ชั่วโมง เท่ากับตอนวัยรุ่น
  • วัยชรา (65 ปีขึ้นไป) ควรนอน 7-8 ชั่วโมง

นอนให้ครบชั่วโมงยังไม่พอ เพราะต้องสำรวจด้วยว่าการนอนของคุณนั้นมีประสิทธิภาพมากพอหรือไม่ ? การนอนที่มีประสิทธิภาพ คือการนอนหลับสนิท ซึ่งมาจากหลายปัจจัย ที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คงหนีไม่พ้นเรื่องแสงและเสียงที่รบกวนการนอนนั่นเอง สภาพแวดล้อมในการนอนมีความสำคัญอย่างมากที่จะช่วยให้คุณนอนหลับได้อย่างสนิท บางคนอาจรู้สึกสงสัยที่ตัวเองนอนมากถึง 8 ชั่วโมงแล้ว แต่ก็ยังตื่นขึ้นมาพร้อมความรู้สึกเหนื่อยเพลียเหมือนพักผ่อนไม่เพียงพอ ลองเช็คดูว่าคุณนอนในที่ๆยังมีแสง เช่น เปิดไฟ เปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้หรือไม่ ถึงแม้คุณจะรู้สึกว่าตัวเองหลับแล้วในขณะที่โทรทัศน์ยังเปิด แต่จริงๆแล้วสมองของคุณอาจยังไม่ได้พักผ่อนเลย เพราะมีการรบกวนจากแสงและเสียงจากโทรทัศน์นั่นเอง ดังนั้น ก่อนที่จะตั้งใจนอนให้ครบชั่วโมงที่เหมาะกับตัวเอง อย่าลืมที่จะปรับเปลี่ยนสภาพของสถานที่นอนให้เหมาะสมด้วย เช่น นอนในห้องมืดสนิท และเงียบพอที่จะให้คุณนอนหลับสนิทได้จริงๆ

 

สารอาหาร

3. กินดีทุกมื้อ สารอาหารต้องเต็มทุกคำ

นอกจากการนอนแล้ว บางคนอาจรู้สึกว่าได้พักผ่อนเมื่อได้รับประทานอาหารที่ชอบ ซึ่งก็ไม่ได้แปลกอะไร เพราะคนจำนวนไม่น้อยก็เอ่ยปากว่า "มีความสุข" เมื่อได้รับประทานของที่ชอบ ดังนั้น เมื่อได้โอกาสพักผ่อนแล้ว ก็อย่าลืมที่จะหาของโปรดมาเติมเต็มความสุขกันด้วย แต่อย่าลืมว่า ของโปรดในวันพักผ่อนจะดีได้ถ้าเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายด้วยนะคะ

นอกจากอาหารมื้อหลักแล้ว ลองเพิ่มน้ำผลไม้หรือเมนูผลไม้เพิ่มความสดชื่นให้วันหยุดพักผ่อนมีสีสันขึ้นมา แถมยังได้ประโยชน์มากมายจากผลไม้นานาชนิด รับวิตามินจากธรรมชาติให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น

 

พักผ่อน

4. ร่างกายไปพักร้อน ใส่แว่นกันแดดให้น้องตาด้วย

ถ้าคุณเป็นหนึ่งคนที่ชอบไปพักร้อนรับซัมเมอร์ เจอแดดอันร้อนแรง อย่าลืมที่จะดูแลดวงตาของคุณ ด้วยการสวมแว่นกันแดดด้วยนะคะ เพราะนอกจากรังสียูวีจะทำร้ายผิวของคุณได้แล้ว มันก็ทำร้ายดวงตาของคุณได้เช่นกัน ดังนั้น ควรถนอมสายตา เพื่อให้ดวงตารู้สึกสบาย ไม่ต้องเผชิญแสงแดดที่ทำร้าย

 

5. ใช้ตาหนัก พักซะหน่อย

8 ชั่วโมงการทำงานของทุกคน ในทุกๆวัน มีอวัยวะหนึ่งที่จำเป็นต้องทำงานอย่างหนักตลอดเวลา คือ ดวงตา ทั้งอ่านหนังสือ จ้องคอมพิวเตอร์ ไหนจะต้องเล่นโซเชี่ยลผ่านอุปกรณ์สมาร์ทโฟนต่างๆอีก นับรวมๆกันแล้ว ดวงตาต้องรับบทหนักมากกว่าวันละ 10 ชั่วโมงแน่นอน ดังนั้น พักร่างกาย พักใจแล้ว ก็อย่าลืมที่จะหาวิธีพักสายตาอยู่เสมอ โดยการพักสายตาง่ายๆที่ไม่ใช่การนอนหลับเพียงอย่างเดียว ก็มีการมองไปพื้นที่สัเขียวสบายตา เช่น ต้นไม้ สวน ทุ่งหญ้า จะช่วยทำให้สายตาเกร็งน้อยลง ทำให้รู้สึกสบายตามากขึ้น หรือจะดูแลเป็นพิเศษขึ้นมาอีกนิดโดยการใช้เจลประคบตาที่มีความเย็นเล็กน้อยประคบที่ดวงตา จะทำให้คุณรู้สึกได้ถึงความสบายและผ่อนคลายได้ไม่ยาก

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


สุขภาพดี คุณก็สร้างได้ แม้ไม่ใช่สายเฮลท์ตี้

แน่นอนว่าใครๆก็คงอยากมี สุขภาพดี มาลองเช็คพฤติกรรมกันก่อนว่า

ชีวิตประจำวันของคุณใช่สายเฮลตี้หรือไม่ ?

 

✔ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ รวมถึงผักผลไม้เป็นประจำ

✔ นอนพักผ่อนอย่างเพียงพอ วันละ 6-8 ชั่วโมง

✔ งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

✔ ออกกำลังกายสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

✔ ดื่มน้ำสะอาดวันละ 8 แก้ว

มีครบทุกข้อพอจะเป็นสายเฮลตี้ได้บ้างมั้ย ?? ถ้าทำไม่ได้ ก็ต้องหาตัวช่วยดีๆ เพิ่มความเฮลตี้กันแล้วนะคะ

 

วิตามิน คืออะไร ?

วิตามิน คือ สารที่มีอยู่ในร่างกายของคนเราอยู่แล้ว และเป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกายที่ขาดไม่ได้ ถ้าร่างกายขาดวิตามินจะมีอาการผิดปกติขึ้นกับร่างกายแสดงออกมาให้เห็นทันที เช่น มีเลือดออกตามไรฟัน เป็นอาการของการขาดวิตามินซีในร่างกาย หรือมีอาการเล็บเปราะหักง่าย เกิดจากขาดไบโอติน ดังนั้น เมื่อร่างกายมีอาการผิดปกติต่างๆเกิดขึ้น อาจใช้วิธีการตรวจเลือดเพื่อหาสาเหตุของการขาดวิตามินได้ เพื่อทำการรับประทานวิตามินเสริมเข้าไป

ร่างกายของมนุษย์จำเป็นต้องมีสารต่างๆประกอบอยู่ในร่างกาย เช่น โปรตีน น้ำตาล วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ดังนั้น การได้รับวิตามินที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายจึงเป็นที่จำเป็นมากๆ เพราะวิตามินสามารถช่วยบำรุงและฟื้นฟูสุขภาพ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับและไต ต่างกับการใช้ยาที่หากใช้ติดต่อกันเป็นประจำ อาจส่งผลเสียต่อตับและตาหรือร่างกายในส่วนอื่นๆได้

วิตามินสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ

  1. วิตามินที่ละลายในน้ำ ได้แก่ วิตามินบี 1 บี 2 บี 3 บี 5 บี 6 บี 7 บี 9 บี 12 และวิตามินซี โดยวิตามินชนิดนี้จะสามารถอยู่ในร่างกายได้ 2-4 ชั่วโมง ส่วนที่เหลือจากการดูดซึมไปใช้งานก็จะถูกขับออกทางไต โดยการปัสสาวะนั่นเอง ดังนั้น วิตามินชนิดที่ละลายในน้ำ จะมีโอกาสสะสมในร่างกายน้อยมาก จึงไม่ค่อยมีผลข้างเคียง
  2. วิตามินที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค ซึ่งจะละลายได้ในไขมันเพื่อดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย จึงไม่สามารถขับออกทางปัสสาวะได้ หากได้รับวิตามินเหล่านี้มากเกินไป อาจเก็บสะสมไว้ในร่างกายได้ ผูที่รับประทานวิตามินชนิดนี้จึงควรมีช่วงที่หยุดรับประทานบ้าง เพื่อไม้ให้เกิดการสะสมในร่างกายมากจนเกินไป

วิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายบางชนิดตวรได้รับทุกวัน เช่น วิตามินซี (คลิ้กเพื่ออ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิตามินซี) และวิตามินบี ซึ่งเป็นวิตามินชนิดที่ละลายในน้ำ หลังจากดูดซึมไปใช้งานแล้ว จะถูกกำจัดออกทางปัสสาวะ ไม่สะสมในร่างกาย จึงสามารถรับประทานเป็นประจำทุกวันได้อย่างปลอดภัย

 

วิตามินบีรวม

ถ้างานมันโหด ต้องโด๊บให้หนักด้วยวิตามินบีรวม เพื่อ สุขภาพดี

งานหนัก พักผ่อนน้อย เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพมากมาย โดยเฉพาะสมองและระบบประสาทนั้นจะได้รับผลกระทบอย่างรวดเร็ว ทั้งเบลอ ทั้งมึน แบบนี้ก็คงทำงานต่อไม่ได้แน่ๆ ดังนั้น มาบำรุงระบบประสาทกันสักหน่อยด้วยวิตามินบีรวม ประกอบด้วย

วิตามินบี 1 หรือไทอามีน (Thiamine) เป็นวิตามินที่ช่วยรักษาโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาท ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ แถมยังช่วยในการเผาผลาญอาหารอีกด้วย

วิตามินบี 2 หรือไรโบฟลาวิน (Riboflavin) ช่วยให้ร่างกายได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต ไขมันและโปรตีน ช่วยในการเจริญเติบโต การสร้างเส้นผม ผิวหนัง เล็บ และช่วยให้ผิว สุขภาพดี

วิตามินบี 3 หรือไนอะซิน (Niacin) ช่วยลดคลอเลสเตอรอล ควบคุมน้ำตาลในเลือด ช่วยในการไหลเวียนของเลือด บรรเทาอาการซึมเศร้า ช่วยให้ระบบประสาทและผิวหนังมีความสมบูรณ์

วิตามินบี 5 หรือกรดแพนโทธินิค (Pantothenic acid) ช่วยในการเผาผลาญไขมันและคาร์โบไฮเดรต ช่วยบำรุงผิวพรรณและเส้นผม และต้านความเครียด

วิตามินบี 6 หรือไพริดอกซิน (Pyridoxine) ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน สร้างเนื้อเยื่อและการเจริญเติบโต และยังเป็นสารที่จำเป็นต่อในการทำงานของระบบประสาทอีกด้วย

วิตามินบี 7 หรือไบโอติน (Biotin) จำเป็นต่อกระบวนการเผาผลาญไขมัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และยังช่วยในการผลตกรดไขมันเพื่อสุขภาพผิว เส้นผม ป้องกันผมหงอกก่อนวัย

วิตามินบี 9 หรือโฟเลต ช่วยสร้างเซลล์ เนื้อเยื่อ พัฒนาระบบประสาท สมอง จึงจำเป็นต่อทารกในครรภ์ เด็กก่อนวัยเรียน และเด็กวัยเรียนด้วย

วิตามินบี 12 หรือไซยาโนโคบาลามิน ช่วยในการสร้างโปรตีน สร้างเม็ดเลือดแดง ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง

วิตามินบีต่างๆ มีส่วนสำคัญทั้งต่อระบบประสาทและส่วนอื่นๆทั่วร่างกาย จึงเป็นวิตามินประเภทที่สำคัญต่อร่างกายมากๆ คุณจึงควรต้องรับประทานวิตามินบีรวมเป็นประจำ โดยวิตามินบีรวม เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ จะถูกกำจัดออกทางปัสสาวะเมื่อเกิน จึงไม่สะสมและไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ทำให้รับประทานได้เป็นประจำ

เสริมวิตามินบีรวมแล้ว อย่าลืมหาเวลานอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอด้วยนะคะ

(คลิ๊กเพื่ออ่าน >> วิตามิน บี การ์ดพิทักษ์เซลล์ประสาทและสมอง)

 

สุขภาพดี

ไม่เลิกอมควันซักที ต้องเริ่มเสริมวิตามินซี ตั้งแต่เนิ่นๆ

วิตามินซีหรือกรดแอสคอร์บิก (Ascorbic acid) มีความจำเป็นต่อการกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันให้สารอื่นไม่ถูกออกซิไดร์ เช่น วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 กรดโฟลิค และวิตามินอี ซึ่งผู้ที่สูบบุหรี่มักมีอนุมูลอิสระเกิดขึ้้นในร่างกายมากกว่าปกติอยู่แล้ว จึงต้องการปริมาณวิตามินซีมากกว่าคนอื่นๆ ดังนั้น วิตามินซีจึงเป็นวิตามินที่ผู้สูบบุหรี่ควรรับประทานเสริมเป็นประจำทุกวัน เพราะวิตามินซีเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ จะถูกขับออกทางปัสสาวะ จึงต้องรับประทานเป็นประจำทุกวัน และอย่าลืมว่าลดการสูบบุหรี่ลงจะดีต่อสุขภาพที่สุดนะคะ

(คลิกเพื่ออ่าน >> อาการเมื่อร่างกายขาดวิตามินซี)

 

บำรุงครรภ์

บำรุงครรภ์เพื่อคุณลูก อย่าลืมดูแลกระดูกคุณแม่ เพื่อ สุขภาพดี

คุณแม่ตั้งครรภ์อาจกังวลเรื่องการเจริญเติบโตของลูกน้อย เพราะก่อนหน้าที่จะตั้งครรภ์อาจไม่ได้รับสารอาหารที่ประโยชน์เพียงพอ ดังนั้น ในระหว่างตั้งครรภ์ คุณแม่สามารถรับประทานอาหารเสริมที่มีความจำเป็นต่อคุณแม่และทารกในครรภ์เสริมได้ตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น แคลเซียม เพราะจำเป็นต่อการเสริมสร้างกระดูกและฟันทั้งของคุณแม่และลูกน้อย รวมถึงเป็นการเตรียมพร้อมที่สำคัญในการจะให้นมบุตรอีกด้วย โดยการรับประทานแคลเซียมเสริมควรเลือกแบบที่ระบุว่าคุณแม่ตั้งครรภ์และให้นุมบุตรสามารถรับประทานได้ด้วยนะคะ นอกจากนี้อย่าลืมรับประทานอาหารมื้อหลักให้ครบ 5 หมู่ เพื่อร่างกายที่แข็งแรงของคุณแม่และคุณลูกด้วยนะคะ

(คลิ๊กเพื่ออ่าน >> แคลเซียม ต้องการแค่ไหนถึงเพียงพอ)

 

สุขภาพดี

สุขภาพดีเริ่มได้ง่ายๆ ควบคุมโรคได้ด้วยตัวเอง

เพียงแค่ใส่ใจกับสุขภาพของคุณในทุกๆวัน

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


เช็คด่วน! วันนี้คุณได้รับ โคเอนไซม์คิวเทน เพียงพอหรือยัง ?

เช็คด่วน! วันนี้คุณได้รับ โคเอนไซม์คิวเทน เพียงพอแล้วหรือยัง ?

ต้องกินอะไร ? เท่าไหร่ ?

ถึงจะได้รับ "โคเอนไซม์คิวเทน" เพียงพอใน 1 วัน

 

โคเอนไซม์คิวเทน (CoQ10) ชื่อที่หลายๆคนคุ้นหูกันดี เพราะช่วยในการต่อต้านริ้วรอย แต่รู้หรือไม่ว่าโคเอนไซม์คิวเทน อาจมีความสำคัญต่อร่างกายกว่าที่คุณคิด!!

โคเอนไซม์คิวเทน ไม่ใช่แค่บำรุงผิวให้สวยอ่อนเยาว์ ต่อต้านริ้วรอยก่อนวัย แต่โคเอนไซม์คิวเทนยังเป็นสารสำคัญต่อทั้งร่างกาย เพราะโคเอนไซม์คิวเทนคือสารอาหารต้านอนุมูลอิสระที่เป็น "แหล่งพลังงานของเซลล์" ทุกเซลล์ในร่างกาย จึงมีประโยชน์ต่อการทำงานของอวัยวะทุกๆส่วนในร่างกาย โดยเฉพาะอวัยวะที่ต้องการใช้พลังงานเยอะ อย่างหัวใจ ที่ต้องพลังในการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงยังทุกส่วนของร่างกาย จึงต้องการคิวเท็นอย่างขาดไม่ได้ สรุปง่ายๆคือ ถ้าหากร่างกายขาด คิวเท็น นั่นหมายความว่า ร่างกายกำลังขาดแหล่งพลังงานที่สำคัญของเซลล์ ทำให้เซลล์ในร่างกายหยุดทำงาน ส่งผลต่ออวัยวะทุกส่วนในร่างกายได้รับผลกระทบนั่นเอง (คลิกเพื่ออ่าน >> ทำไมร่างกายขาดโคคิวเท็นไม่ได้)

ประโยชน์ของ โคเอนไซม์คิวเทน

  • ช่วยเพิ่มพลังงานให้เซลล์ในร่างกาย
  • เสริมประสิทธิภาพการทำงานของระบบหัวใจ
  • เสริมสร้างการทงานของระบบภูมิคุ้มกัน
  • ต่อต้านอนุมูลอิสระ ต่อต้านการเกิดริ้วรอย
  • รักษาโรคเหงือก

เมื่ออายุมากขึ้น ระดับของ โคเอนไซม์คิวเทน จะลดลงไปเรื่อยๆ ซึ่งอาจสัมพันธ์กับการเกิดโรคต่างๆ เช่น

  • เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดและระบบหัวใจ
  • เสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสัน
  • เสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์

เมื่อรู้แล้วว่า คิวเท็น สำคัญขนาดนี้ เรามาสำรวจกันว่าวันๆหนึ่ง เรารับประทานอาหารที่ทำให้ร่างกายได้รับปริมาณคิวเท็นเพียงพอแล้วหรือยัง ??

 

สารอาหาร

เนื้อแดง 3.4 กิโลกรัม

ต้องรับประทานเนื้อแดงถึงวันละ 3.4 กิโลกรัม ถึงจะได้รับคิวเท็น เพียงพอในหนึ่งวัน ซึ่งอาจจะฟังดูเป็นปริมาณที่เยอะมากๆ ดังนั้น ความจริงแล้วเราควรรับประทานแต่พอประมาณ พร้อมกับอาหารประเภทอื่นๆที่อุดมด้วยคิวเท็นด้วย เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เหมาะสมนะคะ

 

โคเอนไซม์คิวเทน

เนื้อไก่ 5.7 กิโลกรัม

 

 

ผักโขม

ผักโขม 50 กิโลกรัม

 

โคเอนไซม์คิวเทน

ปลาซาร์ดีน 120 กระป๋อง

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


ขาดวิตามินซี ทำให้ร่างกายมีอาการแบบนี้นี่เอง

ถ้ามีอาการแบบนี้... คุณอาจ ขาดวิตามินซี โดยไม่รู้ตัว !!

" จะรู้ได้อย่างไรว่า...

ร่างกาย ขาดวิตามินซี "

 

วิตามินซี หรือกรดแอสคอร์บิก (Ascorbic Acid) พบได้ในผลไม้รสเปรี้ยวทุกชนิด มีมากที่สุดในผลมะขามป้อม โดยมะขามป้อม 100 กรัมมี วิตามินซี ประมาณ 1,700 มิลลิกรัม รองลงมาคืออะซโรลาเชอร์รี่ โดยอะซโรลาเชอร์รี่ 100 กรัมจะให้วิตามินซีประมาณ 1,600 มิลลิกรัม และยังพบได้ในผักใบเขียว มันฝรั่ง มะเขือเทศ โดยวิตามินซีที่ดีที่สุดคือวิตามินซีที่มาจากผลไม้ เพราะจะมีสารซีตรัสไบโอฟลาโวนอยด์ (Citrus bioflavonoids) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่สามารถช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ ลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งและช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของวิตามินซีได้ดี (คลิ้กเพื่ออ่านเพิ่มเติม วิตามินซีจากธรรมชาติ VS วิตามินซีสังเคราะห์ ) ซึ่งร่างกายของแต่ละคน มีความต้องการวิตามินซีที่แตกต่างกัน เช่น ผู้ที่สูบบุหรี่และผู้สูงอายุมีความต้องการวิตามินซีที่มากกว่า และการที่ร่างกายขาดวิตามินซี ส่งผลให้ร่างกายมีอาการต่างๆได้มากมายกว่าที่คิด

อาการขาดวิตามินซี อาจก่อให้เกิดความผิดปกติในร่างกายได้ทั้งหลายอย่าง เพราะวิตามินซีเป็นวิตามินพื้นฐานที่มีความจำเป็นต่อร่างกายเป็นอย่างมาก ส่งผลตั้งแต่ด้านผิวพรรณไปจนถึงเหงือกและฟัน โดยที่หลายคนอาจยังไม่รู้และมองข้ามความสำคัญของอาการเหล่านั้นไป วันนี้เรามาดูกันว่าอาการเบื้องต้นที่เป็นสัญญานว่าร่างกายของคุณกำลังขาดวิตามินซี มีอะไรบ้าง

ข้อควรระวังของวิตามินซี ก็คือ วิตามินซีมีคุณสมบัติเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ และเป็นวิตามินที่สลายตัวเร็วเมื่อตั้งทิ้งไว้ในอากาศ โดนแสง และความร้อน ทำให้พืชผักที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารต่างๆมักสูญเสียวิตามินซีไปได้ง่ายๆในระหว่างขั้นตอนการปรุงอาหาร  เช่น การหั่นผักแล้วล้างก็อาจะทำให้วิตามินซีละลายไปกับน้ำแล้ว หรือการนำไปต้มด้วยความร้อนก็สามารถทำลายวิตามินซีได้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ร่างกายของเราไม่สามารถผลิตและไม่สะมารถสะสมวิตามินซีไว้ได้นาน เพราะวิตามินซีละลายในน้ำและจะถูกขับออกทางปัสสาวะ ทำให้ร่างกาของเรามีโอากาสที่จะขาดวิตามินซีได้ง่าย จึงมีการแนะนำให้รับประทานวิตามินซีเป็นประจำทุกวันเพื่อป้องกันการ ขาดวิตามินซี นั่นเอง

 

 

ผิวแห้งกร้าน

ผิวแห้งกร้าน เพราะ ขาดวิตามินซี

วิตามินซี กับ ผิวพรรณ เป็นของคู่กัน คนส่วนมากรู้จักวิตามินซีในฐานนะของวิตามินบำรุงผิวพรรณ ช่วยให้ผิวกระจ่างใส นั่นเป็นเพราะว่าวิตามินซีมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งส่งผลต่อโครงสร้างของชั้นผิวหนัง เมื่อชั้นผิวมีคอลลาเจนที่สมบูรณ์ ก็จะส่งผลให้ผิวพรรณมีความเต่งตึงเปล่งปลั่ง เป็นที่มาของผิวสวยเนียนนุ่ม และช่วยให้แผลต่างๆสมานได้เร็วขึ้น นอกจากนั้น วิตามินซียังเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระให้กับร่างกาย สามารถช่วยชะลอความเหี่ยวย่นที่เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ผิวหนังได้ดีอีกด้วย จึงเรียกได้ว่าวิตามินซีเป็นวิตามินคู่ผิวสวยที่ไม่ควรเลยจริงๆ

 

ขาดวิตามินซี

เลือดออก ขณะแปรงฟัน

นอกตากวิตามินซีจะส่งผลต่อผิวพรรณแล้ว วิตามินซียังเป็นตัวช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่เป็นองค์ประกอบของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เช่น เหงือกและฟัน ดังนั้นหากร่างกาย ขาดวิตามินซี อาจส่งผลให้เหงือกและฟันไม่แข็งแรง เมื่อถูกการกระตุ้น เช่น การแปรงฟันแรงๆก็อาจะทำให้มีเลือดออกตามไรฟันได้ และการขาดวิตามินซีอาจทำให้มีเลือดออกตามไรฟัน  ส้นเลือดฝอยเปราะ หรือมีอาการเหงือกบวมได้

 

เป็นหวัด

เป็นหวัดง่าย เพราะขาดวิตามินซี

วิตามินซี มีความจำเป็นต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยสร้างเม็ดเลือดขาว และป้องกันการเป็นหวัดได้อย่างดี นอกจากจะป้องกันแล้ว วิตามินซียังสามารถช่วยลดเวลาการเจ็บป่วยจากหวัดได้อีกด้วย ดังนั้น ควรรับประทานวิตามินซีเป็นประจำทุกวัน เพื่อช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับร่างกาย รวมถึงลดโอกาสการเป็นหวัด หรือเพิ่มปริมาณการรับประทานวิตามินซีในช่วงที่เป็นหวัด ก็สามารถช่วยให้หายเร็วขึ้นได้ด้วยนะคะ

เพื่อบรรเทาอาการหวัด รับประทานวิตามินซี 1,000 มิลลิกรัม วันละ 2 เวลา พบว่าจะช่วยลดระดับฮิสตามีนในเลือดลงถึงร้อยละ 40 ซึ่งฮิสตามีนเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการน้ำมูกน้ำตาไหลนั่นเอง

 

ขาดวิตามินซี

แผลหายช้า

บางคนอาจสงสัยว่า "แผลหายช้าเกี่ยวอะไรกับการขาดวิตามินซี ?" คำอธิบายง่ายๆก็คือ วิตามินซี เป็นสารสำคัญในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าคอลลาเจนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของผิวหนัง ถ้าผิวหนังมีปริมาณคอลลาเจนที่สมบูรณ์ก็จะทำให้ผิวมีความเต่งตึง และฟื้นฟูได้ดี แต่ถ้าผิวขาดคอลลาเจนก็จะส่งผลให้แผลหายช้าไปด้วยนั่นเอง

อาจมีคำถามต่อมาว่า งั้นเรารับประทานคอลลาเจนเข้าไปเลยไม่ได้หรอ ซึ่งการรับประทานคอลลาเจนนั้นสามารถทำได้ แต่การรับประทานคอลลลาเจนก็มักจะต้องรับประทานคู่กับวิตามินซีอยู่ดีเพราะวิตามินซีเป็นสารสำคัญที่ช่วยในการดูดซึมและช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน สรุปง่ายๆก็คือ วิตามินซีมีความสำคัญต่อผิวหนังอย่างมาก ดังนั้น การได้รับวิตามินซีในปริมาณที่เพียงพอ จะมีส่วนช่วยให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนได้ตามปกติ และจะส่งผลให้ผิวฟื้นฟูได้เร็ว และช่วยให้แผลหายได้เร็วนั่นเอง

 

ประโยชน์ของวิตามินซี

  • ต่อต้านอนุมูลอิสระ
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในร่างกาย
  • ช่วยในการรักษาแผลสด แผลไหม้
  • ช่วยให้แผลผ่าตัดหายเร็วขึ้น
  • ช่วยรักษาอาการเลือดออกตามไรฟัน
  • ช่วยในการเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
  • ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและธาตุเหล็ก
  • ต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง
  • ต่อต้านการเกิดโรคเกาต์
  • ลดความดันโลหิตสูง ลดคลอเลสเตอรอลชนิดเลว ลดไขมันในเลือด เพิ่มคลิเลสเตอรอลชนิดดี เพิ่มความยืดหยุ่นของผนังหลอดเลือดขนาดเล็ก ป้องกันภาวะหลอดเลือดแข็งตัว โรคหัวใจและหลอดเลือด
  • ช่วยในการเปลี่ยนคอเลสเตอรอลไปเป็นน้ำดี ทำให้ปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดลดลง จึงลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด
  • เสริมสร้างระบบภูมิคุมกัน กระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และต้านการหลั่งสารภูมิแพ้ (Histamine)
  • เพิ่มประสิทธิภาพของยาที่ใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
  • ช่วยลดความดันเลือด
  • ลดการเกิดเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ

ศาสตราจารย์ ดร.ไลนัส พอลลิ่ง ผู้ศึกษาเรื่องวิตามินซี และได้รับรางวัลโนเบลถึง 2 ครั้ง แนะนำให้รับประทานวิตามินซีเพื่อช่วยเสริมสร้างถูมิคุ้มกัน บรรเทาความรุนแรงของโรคหวัด รวมทั้งลดระยะเวลาการป่วยจากโรคหวัด และยังมีส่วนช่วยในการลดการหลั่งสารก่อภูมิแพ้ในร่างกายอีกด้วย

จะเห็นได้ว่าวิตามินซีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงานของอวัยวะในร่างกายมากกว่าที่คิด ดังนั้น ควรให้ความสำคัญกับการรับประทานวิตามินซีเป็นประจำทุกวัน เพราะวิตามินซีเป็นวิตามินที่สลายไปได้ง่ายและร่างกายของเราไม่สามารถผลิตวิตามินซีขึ้นมาเองได้ วิตามินซีที่รับประทานเข้าไปก็จะละลายในน้ำ ส่วนเกินก็จะถูกขับออกทางปัสสาวะเป็นประจำทุกวัน จึงไม่ต้องห่วงเรื่องการสะสมในร่างกาย ทำให้เราสามารถรับประทานวิตามินซีได้อย่างต่อเนื่องเป็นกระจำทุกวัน

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


เข่าเสื่อม คุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นหรือยัง ??

ผู้ที่มีความเสี่ยง เป็นโรค "เข่าเสื่อม"

หลายคนอาจเข้าใจว่า "เข่าเสื่อม" เป็นปัญหาสุขภาพที่ควรระวังเมื่อมีอายุมาก แต่ความจริงแล้ว โรคเข่าเสื่อมไม่ได้พบเฉพาะในผู้ที่สูงอายุเท่านั้น แต่ปัจจัยการใช้ชีวิตบางอย่างก็สามารถทำให้เกิดโรคเข่าเสื่อมในคนอายุน้อยๆได้เหมือนกัน เช่น การมีน้ำหนักตัวมากเกินไป การออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกมากๆ หรือการเป็นโรคเกี่ยวกับข้อเข่าอักเสบ หากคุณมีปัจจัยเหล่านี้อยู่ ก็ควรระวังปัญหาสุขภาพข้อเข่าด้วยเช่นกัน เพราะปัญหาโรคข้อเสื่อมสามารถป้องกันได้ และการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อโรคข้อเข่าเสื่อม ก็เป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติตั้งแต่เนิ่นๆโดยไม่ต้องรอให้เกิดอาการก่อน ดังนั้น ในบทความนี้จะมีปัจจัยและพฤติกรรมเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อมมาฝากกันค่ะ

 

อายุมากขึ้น

ผู้ที่อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป

เมื่ออายุมากขึ้น ความสามารถในการผลิตคอลลาเจนและน้ำหล่อลื่นบริเวณข้อต่อในร่างกายก็เริ่มลดลง ทำให้บริเวณข้อเข่าขาดน้ำหล่อลื่นที่จะช่วยลดแรงกระแทกระหว่างกระดูก เมื่อกระดูกเกิดการเสียดสีกันโดยตรงมากๆ จะเป็นสาเหตของข้อเข่าเสื่อมและทำให้เกิดอาการเจ็บปวดในที่สุด

 

น้ำหนักตัวมาก

ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก (BMI > 23)

ค่า BMI คือ ดัชนีที่ใช้ชี้วัดความสมดุลของน้ำหนักตัว
⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀
สูตรคำนวณค่า BMI
น้ำหนักตัว[Kg] / (ส่วนสูง[m] ยกกำลังสอง)
⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀
ถ้าคุณมีค่า BMI มากเกิน 23 ขึ้นไป แสดงว่ามีน้ำหนักตัวเกินกว่ามาตรฐาน
การมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน จะทำให้เกิดบริเวณขาต้องรับน้ำหนักตัวที่มากเกินไป ส่งผลให้เกิดแรงกดทับบริเวณข้อเข่ามากกว่าปกติ โดยเฉพาะผู้ที่มีปริมาณไขมันมาก และมีมวลกล้ามเนื้อน้อยจะยิ่งทำให้เกิดภาระบริเวณกระดูกมากยิ่งขึ้น เพราะโดยปกติแล้วกล้ามเนื้อที่แข็งแรงจะสามารถช่วยส่งเสริมการรองรับน้ำหนักของกระดูกได้เมื่อร่างกายมีการเคลื่อนไหว แต่หากร่างกายมีมวลกล้ามเนื้อน้อย แต่มีน้ำหนักมากและเป็นน้ำหนักที่เกิดจากไขมันเป็นส่วนใหญ่ จะทำให้กระดูกต้องรับภาระในการรับน้ำหนักตัว โดยเฉพาะกระดูกบริเวณเข่า 
ทำให้เกิดการเสียดสีของกระดูกบริเวณข้อเข่ามากกว่าปกติ จึงอาจทำให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อมและมีอาการปวดข้อเข่าได้ ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเข่าเสื่อม ควรรักษาน้ำหนักตัวให้มีความสมดุล และออกกำลังกายอย่างเหมาะสมเป็นประจำ เสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อที่แข็งแรงเพื่อช่วยในการเคลื่อนไหวร่างกาย และลดแรงเกินทับจากน้ำหนักตัวที่มากเกินไป อย่างไรก็ตาม การเลือกวิธิออกกำลังกายที่เหมาะสมก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมากๆ ติดตามได้ในหัวข้อต่อไปนะคะ

 

ออกกำลังกายหนัก

ผู้ที่ออกกำลังกายที่มีการกระแทกมาก เสี่ยง เข่าเสื่อม

แน่นอนว่าการออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพ และเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องปฏิบัติเพื่อสุขภาพที่ดีแบบองค์รวม แต่เลือกวิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสมก็มีความสำคัยไม่แ้กัน เพราะการออกกำลังกายบางประเภททอาจทำให้เกิดแรงกระแทกมากเกินไป เช่น การวิ่ง การยกน้ำหนัก อาจทำให้เกิดแรงกดทับบริเวณข้อต่อมากกว่าปกติ โดยเฉพาะผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากเกินมาตรฐาน ควรเลือกออกกำลังกายเบาๆก่อน ไม่ควรเริ่มด้วยการวิ่งเร็วๆ เพราะอาจทำให้เกิดแรงกดทับบริเวณข้อเข่ามากเกินไปจนอาจทำให้เกิดอากการปวดบริเวณข้อเข่าหากทำเป็นประจำ ดังนั้น ผู้ที่ต้องการออกกำลังกายประเภทนี้ ควรใช้อุปกรณ์ที่ช่วย Support บริเวณข้อเข่า และออกกำลังกายแต่พอดี ไม่หักโหมมากจนเกินไป เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรค เข่าเสื่อม ส่วนผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับข้อต่ออักเสบ หรือ ข้อเสื่อมอยู่แล้ว สามารถเลือกวิธีการออกกำลังกายทางน้ำได้ เพราะน้ำจะช่วยพยุงร่างกายและลดแรงกระแทกได้ดี แต่ยังคงช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อได้ดีเช่นกัน การออกกำลังกายทางน้ำ จึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการออกกำลังกายแต่กลัวปัยหาเรื่องแรงกระแทก

นอกจากนี้พฤติกรรมการนั่งพับเพียบ การนั่งคุกเข่าเป็นเวลานานๆต่อเนื่องเป็นประจำ ก็ทำให้เกิดแรงกดทับได้มากเช่นกัน หากทำเป็นประจำก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเข่าเสื่อมได้เช่นกัน

 

เข่าเสื่อม

ผู้ที่เป็นโรคข้ออักเสบ เช่น รูมาตอยด์ เกาต์

ผู้ที่เป็นโรคข้ออักเสบ เช่น รูมาตอยด์ เกาต์ มักมีอาการปวดบริเวณข้อเข่า เนื่องจากการอักเสบบริเวณข้อ ซึ่งโรครูมาตอยด์และโรคเกาต์มีความแตกต่างกันคร่าวๆ ดังนี้

โรครูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) เกิดขึ้นจากความผิดปกติของระบบภูมิต้านทานอย่างหนึ่ง ที่ไปทำลายและกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อและกระดูกรอบข้อ ส่งผลให้เกิดอาการปวดได้ทุกจุดของร่างกาย ทั้งข้อนิ้วมือ ข้อไหล่ ข้อนิ้วเท้า ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อไหล่ ข้อศอก

โรคเกาต์ (Gout) เกิดจากการที่ร่างกายสะสมกรดยูริก (Uric Acid) มากเกินไป และไม่สามารถขับกรดยูริกส่วนเกินออกได้ จึงตกผลึกตามข้อและอวัยวะต่าง ๆ ส่วนมากพบว่ามีอาการปวดในบริเวณส่วนล่างของร่างกาย โดยเฉพาะข้อโคนนิ้วหัวแม่เท้า นิ้วเท้า ข้อเท้า และข้อเข่า

ผู้ที่เป็นโรคข้ออักเสบ มักพบกับอาการปวดบริเวณข้อได้ง่ายอยู่แล้ว เมื่อบริเวณข้อมีการอักเสบเป็นประจำหรือเป็นเรื้อรังนานๆ ก็อาจะส่งผลให้เกิดโรคเข่าเสื่อมได้เช่นกัน ดังนั้น ตวรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาให้หาย เพื่อลดความเสี่ยงในการปวดเรื้อรัง

 

เข่าเสื่อม

สารสกัดที่ช่วยบำรุงข้อ ลดความเสี่ยง เข่าเสื่อม และลดอาการปวดข้อ

UC-II คือ คอลลาเจน Type II เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะจากประเทศสหรัฐอเมริกา มีส่วนช่วยในการสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อกระดูกอ่อน บำรุงข้อต่อ เพิ่มน้ำหล่อลื่นบริเวณข้อต่อ จึงช่วยชะลอความเสื่อมของกระดูกบริเวณข้อต่อได้
 สารสกัดจากขมิ้นชัน มีส่วนช่วยในการบรรเทาอาการเจ็บปวดบริเวณข้อเข่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


แคลเซียม ต้องการแค่ไหนถึงเพียงพอ ?

แคลเซียม เป็นแร่ธาตุที่มีอยู่ในร่างกายมากกว่าแร่ธาตุอื่นๆ ซึ่งแคลเซียมจะทำงานร่วมกับฟอสฟอรัส เพื่อให้กระดูกและฟันแข็งแรง และแคลเซียมจะทำงานร่วมกับแมกนีเซียมเพื่อสุขภาพของหัวใจและเส้นเลือด แคลเซียมในร่างกายเกือบทั้งหมดจะสะสมอยู่ในกระดูกและฟันร้อยละ 20 ของแคลเซียมในกระดูกของผู้ใหญ่ จะถูกย่อยสลายและสร้างใหม่ทุกปี และการดูดซึมแคลเซียมจะต้องอาศัยวิตามินดีเป็นตัวช่วยในการดูดซึม

ร่างกายจะสะสม แคลเซียม ตั้งแต่ในช่วงวัยเด็ก และจะสะสมแคลเซียมได้มากที่สุดในช่วงวัยรุ่น ผู้หญิงจะมีแคลเซียมมากถึง 90% ในช่วงอายุ 18 ปี ในขณะที่ผู้ชายจะมีแคลเซียมถึง 90% ในช่วงอายุประมาณ 20 ปี โดยทั้งผู้หญิงและผู้ชายจะมีการสะสมแคลเซียมสูงที่สุดในช่วงวัย 30 ปี แต่เป็นที่น่าเสียดายที่หลังจากอายุ 30 เป็นต้นไป ร่างกายจะไม่มีการสะสมแคลเซียมแล้ว นั่นหมายความว่า หากอาหารที่รับประทานเข้าไปมีปริมาณแคลเซียมไม่เพียงพอก็จะส่งผลให้กระดูกเริ่มผุ ยิ่งไปกว่านั้น ในวัยหลังหมดประจำเดือน 5-7 ปี ผู้หญิงจะมีการสูญเสียความหนาแน่นของกระดูกประมาณ 3-5% ต่อปี ซึ่งอาจสูงถึง 20% ของมวลกระดูกทั้งหมด

การขาดแคลเซียม ไม่เพียงแต่จะทำให้กระดูกพรุน แต่จะส่งผลให้เลือดไหลไม่หยุด ทำให้กล้ามเนื้อวัยต่อการกระตุ้น อาจทำให้เกิดอาการชักเกร็ง หัวใจผิดปกติ เป็นตระคิว ไตทำงานผิดปกติ และทำให้การดูดซึมแร่ธาตุต่างๆผิดปกติ

 

แคลเซียม

แคลเซียม สำหรับอายุ 1-30 ปี

ถือเป็นวัยที่โชคดีเพราะร่างกายยังสามารถสะสมแคลเซียมได้ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงอายุ 30 ปี โดยเฉพาะเด็กๆที่รับประทานแคลเซียมเข้าไป เช่น จากนมหรืออาหาร ร่างกายก็จะนำแคลเซียมนั้นไปเก็บไว้ก่อน และเมื่อร่างกายต้องการใช้แคลเซียมเมื่อไรก็จะสามารถนำออกมาใช้ได้ และค่อยสะสมแคลเซียมเข้าไปใหม่โดยการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมเข้าไปใหม่ ในช่วงอายุ 1-30 ปี ร่างกายต้องการแคลเซียม 800-1,000 มิลลิกรัม

 

วัยทำงาน

แคลเซียม สำหรับอายุ 30 ปีขึ้นไป

หลังจากอายุ 30 ปีขึ้นไป เป็นที่น่าเสียดายที่ร่างกายจะไม่สามารถเก็บสะสมแคลเซียมในร่างกายได้อีกต่อไป นั่นหมายความว่าร่างกายควรจะได้รับแคลเซีนมในทุกๆวันอย่างเพียงพอ โดยต้องการวันละ 1,000 มิลลิกรัม

 

สุขภาพ

แคลเซียมสำหรับอายุประมาณ 50 ปี

เมื่ออายุประมาณ 50 ปี หรือที่เรียกกันว่าเข้าสู่ช่วงวัยทอง ร่างกายจะต้องการแคลเซียมในปริมาณวันละ 1,000 มิลลิกรัม ผู้ที่อยู่ในวัยนี้ควรหมั่นตรวจมวลกระดูกเป็นประจำ  และยังเป็นช่วงที่ต้องระวังในการทำกิจกรรมต่างๆที่อาจมีการกระแทกรุนแรง เพราะหากที่ผ่านมาร่างกายได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ อาจทำให้กระดูกไม่แข็งแรงและเกิดการเปราะหักได้ง่าย

 

แคลเซียม

แคลเซียมสำหรับอายุ 50 ปีขึ้นไป และคุณแม่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

เมื่ออายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป ควรรับประทานแคลเซียมให้ได้วันละ 1,200 มิลลิกรัม เพื่อเสริมความแข็งแรงของกระดูกมากขึ้น และที่สำคัญคือเป็นการป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน

กระดูกพรุน (Osteoporosis) คือ ภาวะที่กระดูกมีความแข็งแรงลดลง ส่งผลให้กระดูกแตกหักได้ง่ายกว่าปกติ แม้ได้รับแรงกระแทกเล็กๆน้อยๆก็อาจเกิดการแตกหักที่กระดูกได้ จึงเป็นโรคที่สร้างความเจ็บปวดได้มากและอาจมีการกดทับเส้นประสาทได้ ซึ่งจะยิ่งทำให้มีอาการเจ็บมากขึ้นไปอีก ดังนั้น ทุกเพสทุกวัยควรดูแลกระดูกด้วยการรับประทานแคลเซียมให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายอยู่เสมอ โดยเฉพาะวัย 50 ปีเป็นต้นไปที่ต้องการปริมาณแคลเซียมมากกว่าคนในวัยอื่นๆ และร่างกายมีประสิทธิภาพการดูดซึมแคลเซียมได้น้อยลงเรื่อยๆ จึงต้องหมั่นเติมแคมเซียมให้ร่างกายอย่างเพียงพอ

นอกจากนี้ คุณแม่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ก็ควรรับประทานแคลเซียมวันละ 1,200 มิลลิกรัมด้วย เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายต้องการนำแคลเซียมไปใช้ในการสร้างน้ำนมมากขึ้นด้วย

 

แคลเซียม

 

หลายๆคนอาจจะรู้จัก "แคลเซียม" ในฐานะของส่วนประกอบสำคัญของกระดูกและฟันและจำเป็นต่อการคงสภาพปกติของกระดูกและฟัน แต่นอกจากจะเป็นสารที่จำเป็นต่อกระดูกและฟันแล้ว แคลเซียมยังมีประโยชน์อย่างมากต่อระบบอื่นๆในร่างกาย เช่น

  • มีส่วนช่วยในการแข็งตัวตามปกติของเลือด
  • มีส่วนช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานจากเมตาบอลิซึมตามปกติ
  • มีส่วนช่วยในการทำงานตามปกติของกล้ามเนื้อ
  • มีส่วนช่วยในการทำงานตามปกติของสารสื่อประสาท
  • มีส่วนช่วยในการทำงานตามปกติของเอนไซม์ในระบบย่อยอาหาร
  • มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่
  • มีส่วนช่วยให้จังหวะการเต้นของหัวใจเป็นปกติ
  • ช่วยในการเผาผลาญธาตุเหล็กของร่างกาย
  • ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก
  • บรรเทาอาการนอนไม่หลับ

 

แหล่งธรรมชาติที่ดีที่สุด

คือ นมและผลิตภัรฑ์จากนมทุกชนิด ชีส ถั่วเหลือง เต้าหู้ ปลาซาร์ดีน ปลาแซลมอน ถั่วลิสง วอลนัท เมล็ดทานตะวัน ถั่วแห้ง ผักเคล กะหล่ำใบเขียว

 

สารที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมแคลเซียม

การรับประทานแคลเซียมนั้นจะดูดซึมได้ดีมากขึ้น หากรับประทานร่วมกับ "โบรอน" (Boron)

 

สารที่ลดการดูดซึมแคลเซียม

แอลกอฮอลล์ จะขัดขวางการดูดซึมของแคลเซียม ลดการกระตุ้นวิตามินดีที่ตับ และเร่งการขับแคลเซียมออกมาทางปัสสาวะ

กาแฟ เพราะเครื่องดื่มที่มีสารกาเฟอีนจะขับแคลเซียมออกจากกระแสเลือด โดยกาแฟเพียง 1 แก้ว จะมีผลต่อการสูญเสียแคลเซียมถึง 2-3 มิลลิกรัม

น้ำอัดลม มีกรดฟอสฟอริกและกรดคาร์บอนิกที่ทำให้เกิดฟอง ทำให้เลือดเป็นกรด และส่งผลให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียมในที่สุด

อาหารรสเค็มจัด เพราะจะทำให้ร่างกายเริ่มกำจัดเกลือออกทางปัสสาวะ ซึ่งจะเป็นการขับแคลเซียมออกไปจากร่างกายด้วย

ธัญพืชที่มีสารไฟเตตสูง จะขัดขวางการดูดซึมแคลเซียม จึงไม่ควรรับประทานแคลเซียมพร้อมกับอาหารที่มีสารไฟเตตสูง

อาหารมีฟอสฟอรัสสูง เช่น ตับ เพราะเมื่อร่างกายต้องการจะรักาาสมดุลของฟอสฟอรัส ก็จะทำการขับแคลเซียมออก

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

ทำไมคนไทย... ถึงเสี่ยงกระดูกพรุน มากกว่าชาติใดในโลก

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายด้วย 6 วิธีการดูแลตัวเอง พร้อมสู้และผ่านโควิด-19 ไปด้วยกัน

ภูมิคุ้มกันในร่างกายเปรียบเสมือนปราการด่านแรก สำหรับต้านโรคภัยไข้เจ็บที่จะเข้ามาเยี่ยมเยือน หากเราไม่ดูแลสุขภาพของตนเอง รับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ไม่ออกกำลังกาย มีความเครียด พักผ่อนน้อย โรคภัยก็ถามหาได้ง่าย ๆ ดังนั้น การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพื่อให้เรามีร่างกายที่แข็งแรง สามารถต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ โดยเฉพาะช่วงที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ลามไปทั่วโลก และยังคงไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงได้ง่าย

สาเหตุที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอ
หลายคนอาจสงสัยว่า เพราะเหตุใดร่างกายของคนเราจึงมีภูมิคุ้มกันที่ไม่เท่ากัน บางคนป่วยง่าย บางคนนาน ๆ ถึงจะป่วยสักที การที่ภูมิคุ้มกันร่างกายของคนเราอ่อนแอมีด้วยกันหลายปัจจัย เช่น มาจากกรรมพันธุ์ หากพ่อแม่มีร่างกายแข็งแรงไม่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม ลูกที่เกิดมาก็จะมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีตามไปด้วย เป็นต้น
นอกจากนี้ พฤติกรรมการดูแลสุขภาพที่ไม่เหมาะสม ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนที่มีร่างกายแข็งแรงกลายเป็นอ่อนแอได้ เช่น การรับประทานอาหารไม่ครบห้าหมู่ ไม่ทานผักผลไม้ พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือร่างกายสะสมความเครียด

6 วิธีป้องกันดูแลตนเองให้ห่างไกลโรค
เราสามารถสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ดีขึ้นได้ ด้วยการดูแลสุขภาพ เช่น การทานอาหารที่มีประโยชน์หรือการออกกำลังกาย โดยมีคำแนะนำจาก ทีมเภสัชกร บริษัท ไบโอฟาร์ม เคมิคัลส์ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายเวชภัณฑ์คุณภาพชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ เกี่ยวกับ 6 วิธีดูแลร่างกายเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรค ดังนี้
1. ลดความเครียด อารมณ์เครียดจะส่งผลเพิ่มการหลั่งฮอร์โมนที่มีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน ของร่างกาย ทำให้ภูมิต้านทานต่อโรคต่างๆ ลดลงจึงเกิดการติดเชื้อได้ง่าย จึงไม่ควรปล่อยให้ตัวเองเครียด
2. นอนหลับให้เพียงพอ การนอนไม่พอนั้นมีผลต่อการสร้างเซลล์ในระบบภูมิต้านทาน เช่น แอนติบอดี โดยการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยชิคาโก ในผู้ที่นอนหลับคืนละ 7 ชม. เป็นเวลา 4 วัน แล้วให้วัคซีนไข้หวัด พบว่าคนกลุ่มนี้จะสามารถสร้างแอนติบอดี ซึ่งเป็นเซลล์ในระบบภูมิต้านทาน ต่อเชื้อไข้หวัดได้มากกว่าผู้ที่นอนหลับคืนละ 4 ชม. ถึง 50%
3. ดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพราะน้ำจะช่วยเพิ่มสารคัดหลั่งและความชุ่มชื้นของเยื่อบุผิวในท่อทางเดินหายใจส่วนบน ที่จะช่วยป้องกัน และดักจับฝุ่นละอองหรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย
4. ออกกำลังกายอย่างพอเหมาะเป็นประจำ นอกจากช่วยให้กล้ามเนื้อร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังช่วยขับของเสียผ่านทางเหงื่อ และเพิ่มปริมาณการไหลเวียนเลือด ช่วยกระตุ้นให้ระบบการไหลเวียนเลือดดีขึ้น แล้วทำให้เม็ดเลือดขาวแข็งแรงสามารถจัดการกับเชื้อโรค อีกทั้งร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟินออกมาหลังการออกกำลังกายเพื่อช่วยทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย ลดความเครียด และความวิตกกังวล ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคภัยได้ โดยเราควรออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อยวันละ 30 นาที 3 - 4 วันต่อสัปดาห์
5. รับประทานอาหารต้านโรค นอกเหนือจากการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ควรเสริมด้วยอาหารที่ช่วยสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกัน เช่น
- เบต้าแคโรทีน ซึ่งโดยมากจะอยู่ในผักและผลไม้
- วิตามินซี วิตามินอี, วิตามินบี อาทิ ผักใบเขียวจัดหรือผักผลไม้สีเหลืองส้ม
- แร่ธาตุ เช่น ซิลีเนียม หรือสังกะสี ที่พบในเนื้อสัตว์ อาหารทะเล นม หรือถั่ว เป็นต้น
6. ล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ ควรล้างมือก่อนการปรุงอาหาร และก่อนรับประทานอาหาร รวมไปถึง ล้างมือหลังจากหยิบจับสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ธนบัตร และสิ่งของสาธารณะที่มีคนใช้บริการจำนวนมาก เพื่อป้องกันการได้รับเชื้อโรคต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกาย

ทั้งหมดนี้ควรปฏิบัติควบคู่กันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ทางสุขภาพที่ดีขึ้น สำหรับผู้ที่ทานผักและผลไม้ยากหรือทานได้ไม่เต็มที่นัก การทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมภูมิคุ้มกัน อาทิ วิตามินรวมและแร่ธาตุต่างๆ ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ ซึ่งปัจจุบันมี ผลิตภัณฑ์มัลติวิตามิน ให้เลือกหลากหลาย เป็นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ทำให้เรามีสุขภาพที่แข็งแรง

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


CoQ10 กับ 4 ความเสี่ยงเมื่อร่างกายขาด

โคคิวเท็น สำคัญต่อหัวใจขนาดไหน ?

ทำไมร่างกายขาดโคคิวเท็นไม่ได้

 

โคคิวเทน (CoQ10) คืออะไร?

หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อ "CoQ10" อยู่บ่อยๆ แต่ยังสงสัยว่ามาจากอะไร ซึ่งตัว Q มาจากสารชื่อควิโนน ส่วน 10 มาจากจำนวนของสารไอโซพรีนิลที่มาเกาะกับควิโนน และเป็นตัวช่วยการทำงานของเอนไซม์จึงเรียกว่า โคเอนไซม์

คุณสมบัติของโคเอนไซม์คิวเท็น คือ ละลายได้ดีในไขมัน มีหน้าที่ในการสร้างพลังงานให้แก่เซลล์ พบว่า 95% ของพลังงานที่ร่างกายมนุษญ์สร้างขึ้นต้องใช้โคเอนไซม์คิวเทน ร่างกายสามารถสร้างโคเอนไซม์คิวเทนขึ้นเองได้โดยอาศัยกรดอะมิโนฟีนิลอะลานีนหรือไทโรซีนตัวใดตัวหนึ่งจากอาหารจำพวกโปรตีน และวิตามินบี 6 อาหารที่เป็นแหล่งของโคเอนไซม์คิวเทน เช่น ปลา ไก่ เนื้อ น้ำมันถั่วเหลือง ไข่ ผัก

โคเอนไซม์คิวเทน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์แรง สามารถช่วยลดความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์ที่กล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งปกติจะต้องใช้พลังงานอย่างมากเพราะเป็นส่วนที่ช่วยสูบฉีดระบบไหลเวียนโลหิตไปหล่อเลี้ยงทั่วร่างกาย โคเอนไวม์คิวเทนช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้แก่เซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ลดอนุมูลอิสระ และยังมีบทบาทในการช่วยบำรุงผิวพรรณ ช่วยฟื้นฟูสภาพผิว ป้องกันริ้วรอย และชะลอการแก่ก่อนวัย รวมถึงช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย โคคิวเท็น มีความสำคัญมากต่อกระบวนการส้รางพลังงาน ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของระบบต่างๆในร่างกายของเรา ดังนั้น หากร่างกายขาดโคคิวเท็น ร่างกายก็จะหยุดทำงานทันที

เมื่อเราอายุมากขึ้น ระดับของโคคิวเท็นจะลดลง ซึ่งอาจสัมพันธ์กับการเกิดโรคหลายชนิด โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวข้องกับความชรา นอกจากนี้ การรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ความเครียด และการติดเชื้อ อาจส่งผลให้ร่างกายมีปริมาณโคคิวเท็นน้อยลงอีกด้วย

(คลิ๊กเพื่ออ่าน >> อาหารที่อุดมด้วยโคคิวเท็น)

รู้หรือไม่... การปรุงอาหารด้วยความร้อนทำลาย CoQ10 14-32%

การปรุงอาหารให้สุกผ่านความร้อนนั้นเป็นเรื่องที่ดี เพราะสามารถช่วยฆ่าเชื้อโรคและลดความเสี่ยงที่จะนำเชื้อต่างๆเข้าสู่ร่างกาย แต่รู้หรือไม่ว่าการปรุงอาหารโดยใช้ความร้อน นอกจากจะทำลายเชื้อโรคแล้ว ยังทำลายสารโคเอนไซม์คิวเทนให้ลดน้อยลงไปถึง 14-32% เลยทีเดียว ดังนั้น การรับประทานอาหารที่ผ่านการปรุงสุกด้วยความร้อนเป็นเวลานานๆอาจทำให้โคเอนไซม์คิวเทนที่อยู่ในอาหารสลายไปหมด เช่น การต้มหรือทอดนานๆ

 

"4 ความเสี่ยงเมื่อร่างกายขาด CoQ10"

 

ระบบหัวใจ

1. เสี่ยงต่อการเกิดโรคเกี่ยวกับ "หลอดเลือดและระบบหัวใจ"

หัวใจเป็นอวัยวะที่ต้องใช้พลังงานอย่างมาก และโคคิวเท็นก็เป็นสารที่ช่วยสร้างพลังงานให้กับเซลล์ต่างๆ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหัวใจ ดังนั้น เมื่อร่างกายขาดโคคิวเทนแน่นอนว่าจะส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพการทำงานของระบบหัวใจที่ลดลง ทำให้กระบวนการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆน้อยลงและอาจก่อให้เกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันได้ในที่สุด นอกจากนี้ยังพบว่าโคคิวเทนมีส่วนลดการก่อตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด และช่วยให้ผนังหลอดเลือดยืดหยุ่นได้ดี จึงมีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดได้

 

ยาสเตติน

นอกจากนี้ ยาในกลุ่มสเตตินที่ผู้คนนับล้านรับประทานเพื่อลดระดับคอเลสเตอรอลซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของโรคหัวใจ ทำให้ระดับโคคิวเท็นในร่างกายลดลง ซึ่งหมายความว่า มีผู้คนนับล้านที่รับประทานยากลุ่มสเตตินเพื่อลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ แต่ยานี้อาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจด้วยเช่นกัน ดังนั้น สำหรับผ฿้ที่รับประทานยาในกลุ่มสเตติน ควรรับประทานโคคิวเท็นเสริมด้วย

 

เซลล์ในร่างกาย

2. เสี่ยงต่อ "เซลล์ในร่างกาย หยุดทำงานทันที"

โคคิวเท็น เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่พบได้ในทุกเซลล์ของสิ่งมีชีวิต และมีความสำคัญมากต่อกระบวนการสร้างพลังงานระดับเซลล์ หรือ เอทีพี (ATP) ให้กับทุก ๆ เซลล์ในร่างกาย ดังนั้น หากร่างกายขาดโคคิวเทนก็จะส่งผลให้เซลล์นั้น ๆ ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ โคคิวเท็นยังมีคุณสมบัติหลายอย่างคล้ายกับวิตามินอี ช่วยเพิ่มพลังงาน เสริมการทำงานของระบบอวัยวะต่างๆ เช่น ระบบหัวใจ ระบบภูมิคุ้มกัน

 

พาร์กินสัน

3. เสี่ยงต่อการเกิด "โรคพาร์กินสัน"

โรคพาร์กินสันเกิดจากการเสื่อมของเซลล์ โดยเฉพพาะเซลล์ประสาทบริเวณสมอง ทำให้เซลล์สมองของการควบคุมประสาทการเคลื่อนไหวเสื่อมลง ซึ่งโคคิวเทนจะไปช่วยยับยั้งอนุมูลอิสระที่จะไปทำลายเซลล์สมอง ดังนั้นจึงช่วยลดการเสื่อมของเซลล์และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคพาร์กินสัน

การศึกษาจากสถาบันโรคทางประสาทและโรคหลอดเลือดสมองแห่งชาติ (National Institute of neurological Disorders and Stroke) ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้สรุปว่า โคคิวเท็น ช่วยชะลออาการผิดปกติและการดำเนินโรคในโรคพาร์กินสันได้ แม้จะยังต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันต่อไป แต่ก็ถือเป็นการค้นพบครั้งใหญ่

 

CoQ10

4. เสี่ยงต่อการเกิด "โรคอัลไซเมอร์"

เซลล์สมองต้องการพลังงานมาก และแน่นอนว่าสารที่ช่วยในการสร้างพลังงานให้กับเซลล์สมองได้ดีก็คือโคคิวเทนนั่นเอง นอกจากนี้โคคิวเทนยังช่วยต้านอนุมูลอิสระรอบๆผนังเซลล์ ไม่ให้เข้าไปทำลายดีเอ็นเออีกด้วย ดังนั้นการที่ร่างกายขาดโคคิวเทนจะทำให้เซลล์สูญเสียตัวช่วยสร้างพลังงาน ส่งผลให้สมองล้าและเสียหาย ก่อให้เกิดอาการของโรคอัลไซเมอร์ในที่สุด

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


วิตามิน VS ยา ต่างกันอย่างไร? จำเป็นแค่ไหน?

วิตามิน และ ยา จำเป็นแค่ไหน ทำไมต้องเสริม ?

 

วิตามิน

วิตามิน คืออะไร ?

วิตามิน คือ สารที่มีอยู่ในร่างกายของคนเราอยู่แล้ว และเป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกายที่ขาดไม่ได้ ถ้าร่างกายขาดวิตามินจะมีอาการผิดปกติขึ้นกับร่างกายแสดงออกมาให้เห็นทันที เช่น มีเลือดออกตามไรฟัน เป็นอาการของการขาดวิตามินซีในร่างกาย หรือมีอาการเล็บเปราะหักง่าย เกิดจากขาดไบโอติน ดังนั้น เมื่อร่างกายมีอาการผิดปกติต่างๆเกิดขึ้น อาจใช้วิธีการตรวจเลือดเพื่อหาสาเหตุของการขาดวิตามินได้ เพื่อทำการรับประทานวิตามินเสริมเข้าไป

ร่างกายของมนุษย์จำเป็นต้องมีสารต่างๆประกอบอยู่ในร่างกาย เช่น โปรตีน น้ำตาล วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ดังนั้น การได้รับวิตามินที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายจึงเป็นที่จำเป็นมากๆ เพราะวิตามินสามารถช่วยบำรุงและฟื้นฟูสุขภาพ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับและไต ต่างกับการใช้ยาที่หากใช้ติดต่อกันเป็นประจำ อาจส่งผลเสียต่อตับและตาหรือร่างกายในส่วนอื่นๆได้

วิตามินสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ

  1. วิตามินที่ละลายในน้ำ ได้แก่ วิตามินบี 1 บี 2 บี 3 บี 5 บี 6 บี 7 บี 9 บี 12 และวิตามินซี โดยวิตามินชนิดนี้จะสามารถอยู่ในร่างกายได้ 2-4 ชั่วโมง ส่วนที่เหลือจากการดูดซึมไปใช้งานก็จะถูกขับออกทางไต โดยการปัสสาวะนั่นเอง ดังนั้น วิตามินชนิดที่ละลายในน้ำ จะมีโอกาสสะสมในร่างกายน้อยมาก จึงไม่ค่อยมีผลข้างเคียง
  2. วิตามินที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค ซึ่งจะละลายได้ในไขมันเพื่อดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย จึงไม่สามารถขับออกทางปัสสาวะได้ หากได้รับวิตามินเหล่านี้มากเกินไป อาจเก็บสะสมไว้ในร่างกายได้ ผูที่รับประทานวิตามินชนิดนี้จึงควรมีช่วงที่หยุดรับประทานบ้าง เพื่อไม้ให้เกิดการสะสมในร่างกายมากจนเกินไป

วิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายบางชนิดตวรได้รับทุกวัน เช่น วิตามินซี (คลิ้กเพื่ออ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิตามินซี) และวิตามินบี ซึ่งเป็นวิตามินชนิดที่ละลายในน้ำ หลังจากดูดซึมไปใช้งานแล้ว จะถูกกำจัดออกทางปัสสาวะ ไม่สะสมในร่างกาย จึงสามารถรับประทานเป็นประจำทุกวันได้อย่างปลอดภัย

 

วิตามิน

วิตามิน เป็นอาหารเสริม ไม่ใช่อาหารหลัก

ถึงแม้ว่าการได้รับวิตามินอย่างเพียงพอและเหมาะสมจะสามารถช่วยบำรุงและฟื้นฟูร่างกายได้ แต่การรับประทานวิตามินก็ไม่สามารถมอบสารอาหารอันหลากหลายได้เหมือนอาหารจานหลักจากอาหารมื้อต่างๆที่รับประทานเป็นประจำทุกวัน แต่วิตามินสามารถช่วยเสริมในส่วนที่ร่างกายขาดได้ หากเลือกรับประทานอย่างเหมาะสม

วิตามินจำเป็นหรือไม่?

หากย้อนกลับไปสัก 10-20 ปีก่อน ที่ผักผลไม้และแหล่งอาหารต่างๆยังอุดมสมบูรณ์ด้วยแหล่งที่มาจากธรรมชาติ ไม่มีการใช้สารเคมีในการเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ ไม่มีมลพิษและแหล่งน้ำยังไม่เน่าเสียเหมือนในปัจจุบัน ทำให้สารอาหารต่างๆในอาหารแตละชนิดนั้นมีความสมบูรณ์ การรับประทานครบ 5 หมู่ในทุกๆวันก็อาจจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย แต่ในความเป็นจริงของสมัยนี้ที่มีการใช้สารเคมี และกรรมวิธีต่างๆในการปรุงอาหารนั้นส่งผลให้สารอาหารต่างๆในอาหารนั้นลดน้อยลง ทำให้การรับประทานอาหารในแต่ละวันอาจไม่เียงพออีกต่อไป ดังนั้น การรับประทานวิตามินเสริมจึงเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก

ถึงแม้ว่าวิตามินจะไม่สามารถทดแทนอาหารจานหลักได้ แต่วิตามินและแร่ธาตุเสริม 1 เม็ด มักจะอัดแน่นด้วยปริมาณแร่ธาตุและสารอาหารที่คนปกติอาจไม่สามารถรับได้จากการรับประทานอาหารเพียง 1 มื้อหรือ 1 วันเพื่อให้ได้สารอาหารเหล่านั้นเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เช่น ต้องกินฟักทอง 1 ผลเพื่อให้ได้เบตาแคโรทีน 2 มิลลิกรัม เท่ากับการรับประทานเบตาแคโรทีน 1 เม็ด ซึ่งคนปกติอาจไม่สามารถรับประทานฟักทองได้ถึง 1 ผล

วิตามินเป็นเกราะป้องกันร่างกายจากอนุมูลอิสระ

สามารถอธิบายง่ายๆได้ว่า สารอนุมูลอิสระ (Free Radicals) คือ ออกซิเจนรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีโครงสร้างไม่เสถียร ว่องไว ทำให้สามารถสร้างพันธะกับสารอื่นๆได้อย่างรวดเร็ว แต่จะเป็นการทำให้สารเหล่านั้นเกิดการเสื่อมสภาพ หรือที่เรียกว่า "ออกซิเดชั่น" และเมื่อร่างกายเกิดออกซิเดชั่นขึ้นมากๆก็จะส่งผลให้ร่างกายเกิดความเสื่อม ทำลายเม็ดเลือด ทำลายอวัยวะต่างๆ และเป็นสาเหตุของริ้วรอยแห่งวัยต่างๆนั่นเอง ดังนั้น สารอนุมูลอิสระเปรียบเสมือนยาพิษซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากทุกสภาวะที่ร่างกายของเราไม่ชอบ เช่น นอนดึก นอนไม่พอ สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า หรือเจอกับมลภาวะเยอะๆ เช่น ฝุ่น PM 2.5 ถึงแม้ว่าอนุมูลอิสระไม่ทำให้เกิดโรคในทันที แต่ก็เป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพในระยะยาว

วิตามินและเกลือแร่ เป็นเกราะป้องกันอนุมูลอิสระที่ดีและจำเป็นต่อร่างกายอย่างมาก การเสริมวิตามินและเกลือแร่ให้กับร่างกายอยู่เสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญและขาดไม่ได้

 

ยา

ยา คืออะไร?

ยา คือสิ่งที่ร่างกายไม่มี ยาส่วนใหญ่ผลิตจากสารเคมี เช่น ยาพาราเซตามอล ร่างกายเราไม่สามารถผลิตยาเองได้ ดังนั้น ยาจึงไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นในภาวะร่างกายปกติ ในทางกลับกัน ยามีไว้ใช้รักษาอาการผิดปกติของร่างกายที่มีอาการรุนแรง เช่น อาการปวดหัว ต้องได้รับยาพาราเซตามอลที่มีฤทธิ์ช่วยบรรเทาอาการปวดได้ ซึ่งยามีการออกฤทธิ์ที่เร็ว สามารถระงับอาการต่างๆได้ แตกต่างจากการรับประทานอาหารเสริมที่จะเข้าไปช่วยบำรุงและฟื้นฟูร่างกาย

 

ยา

หลักการใช้ยา

เมื่อรับประทานยาครบตามที่แพทย์สั่ง หรือใช้ยารักษาจนหายแล้ว ต้องหยุดใช้ยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เพราะยาบางชนิดไม่สามารถรับประทานต่อกัยเป็นระยะเวลานาน เพราะยาเป็นสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่ในร่างกายเราตามธรรมชาติ หากหายแล้วยังรับประทานยาต่อไปเรื่อยๆอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ เพราะยาส่วนใหญ่ผลิตจากสารเคมี ซึ่งมีโอกาสที่จะสะสมในร่างกายได้ค่อนข้างมากหากใช้เป็นประจำ อาจส่งผลเสียต่ออวัยวะในร่างกาย เช่น ตับ ไต สมองได้

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


คอนแทคเลนส์ กับ 4 ข้อควรรู้ก่อนใส่ เพื่อสุขภาพดวงตาที่ดี

อย่ามองข้ามการดูแล "คอนแทคเลนส์"

เพื่อสุขภาพดวงตาที่ดี

 

"คอนแทคเลนส์" (Contact Lens) มีความสำคัญแทบจะเป็นปัจจัยที่ 5 ของบางคนเลยทีเดียว โดยเฉพาะผู้ที่มีสายตาสั้น ถ้าไม่ใส่แว่น ก็คงต้องใส่คอนแทคเลนส์กันทุกวัน แต่รู้หรือไม่ว่าคอนแทคเลนส์ที่เราใส่กันอยู่ทุกวันมีวิธีการดูแลและข้อควรระวังอะไรบ้าง ??

ประเภทของคอนแทคเลนส์ แบ่งตามวัสดุที่ใช้

  • คอนแทคเลนส์ชนิดแข็ง ผลิตด้วย PMMA ซึ่งเป็นคอนแทคเลนส์รุ่นแรกๆของโลก คอนแทคเลนส์ชนิดนี้มีข้อเสียที่ไม่ยอมให้อ๊อกซิเจนผ่าน ปัจจุบันจึงเลิกใช้ไปแล้ว เพราะในปัจจุบันมีการคิดค้นวัสดุที่ใช้ผลิตคอนแทคเลนส์ชนิดแข็งที่ยอมให้อ๊อกซิเจนผ่านได้ดี ซึ่งส่งผลให้ใช้งานได้ดีกว่า
  • คอนแทคเลนส์ชนิดแข็งที่ยอมให้อ๊อกซิเจนผ่านได้ดี (Rigid Gas Permeable Contact Lens, RGP) แน่นอนว่าพัฒนาต่อมาจากคอนเทคเลนส์ชนิดแข็งในยุคแรกๆ แต่คอนแทคเลนส์ชนิดนี้ก็ยังมีข้อเสียคือผู้ใส่รู้สึกระคายเคืองตามากกว่าการใส่คอนแทคเลนส์ชนิดนิ่มในช่วงแรก แต่มีคุณสมบัติบางอย่างที่ดีกว่าคอนแทคเลนส์ชนิดนิ่ม เช่น ยอมให้อ๊อกซิเจนผ่านได้ดี มีความคมชัดในการมองเห็นดีกว่า ทำให้ตาแห้งน้อยกว่า และสามารถแก้ไขปัญหากระจกตาบิดเบี้ยวได้ดีกว่า ซึ่งมีอายุการใช้งานที่นานกว่าและประหยัดกว่าในระยะยาว
  • คอนแทคเลนส์ชนิดนิ่มไฮโดรเจล เป็นวัสดุที่ใช้ผลิตคอนแทคเลนส์ชนิดนิ่มส่วนใหญ่ในปัจจุบัน
  • คอนแทคเลนส์ชนิดนิ่มวัสดุซิลิโคนไฮโดรเจล เป็นวัสดุใหม่ล่าสุดสำหรับคอนแทคเลนส์ชนิดนิ่ม มีคุณสมบัติที่ดีคือยอมให้อ๊อกซิเจนผ่านสูงกว่า 97% ส่งผลให้ดีต่อสุขภาพตามากกว่า

ประเภทของคอนแทคเลนส์ แบ่งตามลักษณะการใช้งาน

  • แบบใส่เฉพาะตอนตื่น และถอดก่อนนอน ผู้ใส่จะต้องถอดเลนส์ก่อนนอนเสมอ ซึ่งเป็นคอนแทคเลนส์ชนิดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
  • แบบใส่ต่อเนื่องนาน 6 วันโดยไม่ต้องถอด  การใส่เลนส์นอนสามารถทำได้กับเลนส์บางรุ่นเท่านั้นและทำให้มีความเสี่ยงต่อดวงตาติดเชื้อสูงขึ้นกว่าการถอดเลนส์ก่อนนอนอย่างมาก
  • แบบใส่ต่อเนื่องนาน 30 วันโดยไม่ต้องถอด ข้อเสียคือมีความเสี่ยงต่อดวงตาติดเชื้อสูงขึ้นกว่าการถอดเลนส์ก่อนนอนอย่างมาก

 

ด้วยความที่คนส่วนใหญ่มักจะเลือกใส่ คอนแทคเลนส์ แบบใส่เฉพาะตอนตื่น และถอดก่อนนอน เพราะฉะนั้น บทความนี้มี 4 ข้อควรรู้เกี่ยวกับตอนแทคเลนส์ชนิดนี้มากฝากกันค่ะ

ความสะอาด

1. ความสะอาด สำคัญที่สุด

ด้วยควมที่คอนแทคเลนส์ต้องสัมผัสกับดวงตาโดยตรง ความสะอาดในทุกๆขั้นตอน ตั้งแต่การเริ่มเปิดใช้งานจนถึงการล้างทำความสะอาดเมื่อใส่เสร็จนั้นสำคัญอย่างมาก เมื่อซื้อคอนแทคเลนส์มาครั้งแรก คอนแทคเลนส์จะถูกแช่มาในน้ำยาคนละชนิดกับน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ปกติ ดังนั้น หลังจากที่นำคอนแทคเลนส์ออกมาจากบรรจุภัณฑ์ครั้งแรก ต้องนำคอนแทคเลนส์มาล้างทำความสะอาดก่อน และแช่ในน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ทิ้งไว้อย่างน้อย 8 ชั่วโมง ก่อนนำมาใช้งานครั้งแรก ส่วนการใช้งานในครั้งต่อๆไปก็จำเป็นต้องล้างทำความสะอาดด้วยน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ทุกครั้งก่อนใช้งานทุกครั้งด้วย

  • ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งด้วยสบู่ที่อ่อนโยน
  • เช็ดมือให้แห้งสนิทก่อนใส่หรือถอดคอนแทคเลนส์ เพื่อไม่ให้มีน้ำเปล่าไปสัมผัสกับเลนส์
  • ทำความสะอาดตลับใส่คอนแทคเลนส์ทุกวันและรอให้แห้งก่อนนำไปใช้ใส่เลนส์
  • เปลี่ยนตลับเลนส์ใหม่ทุกๆ 3 เดือนเป็นอย่างน้อย

 

วิธีสังเกต

2. วิธีสังเกต คอนแทคเลนส์ ก่อนใส่

การใส่คอนแทคเลนส์ จะต้องใส่ให้ถูกด้านเพื่อให้ความโค้งของคอนแทคเลนส์รับกับดวงตา แต่การจะใส่ให้ถูกด้านนั้น สำหรับคอนแทคเลนส์สีอาจสังเกตได้จากลายของคอนแทคเลนส์ แต่สำหรับของคอนแทคเลนส์ใส จะสังเกตจากสีของคอนเทคเลนส์ไม่ได้ แต่ก็ยังมีวิธีในการสังเกตจากรูปร่างลักษณะของเลนส์แทนได้

ก่อนใส่คอนแทคเลนส์ทุกครั้ง ควรสังเกตว่าคอนแทคเลนส์อยู่ในด้านที่ถูกต้องตามภาพหรือไม่ แค่นี้ก็ทำให้ใส่คอนแทคเลนส์ได้อย่างถูกต้อง ไม่ระคายเคืองดวงตา

อีกข้อสำคัญก่อนจะสวมใส่คอนแทคเลนส์ ควรตรวจสภาพความพร้อมของดวงตาก่อนว่าดวงตาของคุณอยู่ในสภาพปกติ พร้อมที่จะใส่คอนแทคเลนส์หรือไม่ เช่น หากมีอาการตาแดง ตาแห้งจนรู้สึกแสบตา ไม่ควรใส่คอนแทคเลนส์และปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาดวงตาให้เป็นปกติก่อน

 

อายุการใช้งาน คอนแทคเลนส์

3. อายุการใช้งานที่ถูกต้องของ คอนแทคเลนส์

ในกรณีที่ใช้คอนแทคเลนส์ที่มีอายุการใช้งานสำหรับ 1 เดือน ถึงแม้หลังจากเปิดใช้งานไม่ได้ใส่ทุกวัน แต่ให้เริ่มนับอายุการใช้งานครบรอบ 1 เดือน หลังจากวันแรกที่นำคอนแทคเลนส์ออกจากบรรจุภัณฑ์ หลังจากครบรอบ 1 เดือนแล้ว ควรเปลี่ยนคอนแทคเลนส์คู่ใหม่ทันที

ส่วนคอนแทคเลนส์รายวัน เป็นคอนแทคเลนส์แบบใช้แล้วทิ้ง โดยมีอายุการใช้งานที่เหมาะสมอยู่ที่ครั้งละไม่เกิน 8 ชั่วโมง ดังนั้น ผู้ที่สวมใส่คอนแทคเลนส์แบบรายวันหรือรายเดือนก็ตาม ควรใส่คอนแทคเลนส์ไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมง เพื่อสุขภาพดวงตาที่ดี และไม่เป็นการรบกวนดวงตามากจนเกินไป

หากผู้ใส่คอนแทคเลนส์มีปัญหาตาแห้ง สามารถใช้น้ำตาเทียมหยอดตาเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้ดวงตาและคอนแทคเลนส์ได้ และไม่ควรสวมใส่คอนแทคเลนส์ทั้งๆที่รู้สึกว่าตาแห้งมาก เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ เช่น ผู้ที่รับประทานยากลุ่มวิตามินเอ จะมีผลข้างเคียงทำให้ผิวหนัง รวมถึงดวงตาแห้งมากกว่าปกติ จึงควรงดการสวมใส่คอนแทคเลนส์

 

คอนแทคเลนส์

4. คอนแทคเลนส์ ไม่ถูกกับ น้ำเปล่า

ถึงแม้ว่าเราจะสามารถใช้น้ำเปล่าชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากสิ่งต่างๆได้แทบทุกชนิด แต่ไม่ใช่สำหรับคอนแทคเลนส์นะคะ แน่นอนว่าทั้งก่อนและหลังการใส่คอนแทคเลนส์ทุกครั้ง และต้องล้างทำความสะอาดด้วยน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ก่อนทุกครั้ง โดยจำเป็นต้องใช้น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์โดยเฉพาะ ไม่ควรใช้อย่างอื่นแทน และไม่ควรให้คอนแทคเลนส์สัมผัสกับน้ำเปล่า เพราะน้ำเปล่าอาจมีสิ่งสกปรกปะปนและอยู่ในสภาพที่ไม่เหมาะสมกับการสัมผัสดวงตา ดังนั้น หลังการล้างมือรือล้างตลับคอนแทคเลนส์ก็ควรรอหรือเช็ดให้แห้งก่อนที่จะนำมือไปสัมผัสกับคอนแทคเลนส์

 

บำรุงสายตา

"ใช้สายตามาก บำรุงไม่ยากด้วย 4 พลังธรรมชาติ"

  • Astaxanthin (สารสกัดจากสาหร่ายสีแดง) ฟื้นฟูภาวะเสื่อมของจอตา กระตุ้นการไหลเวียนของเส้นเลือดฝอยในจอตา
  • Lutein (สารสกัดจากลูทีน) ช่วยกรองแสงสีฟ้า ปกป้องดวงตาจากแสงและอนุมูลอิสระ
  • Bilberry (สารสกัดจากบิลเบอร์รี่) ลดอาการเมื่อยล้าของดวงตาและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นในที่มืด
  • Vitamin E (วิตามินอี) คืนความชุ่มชื้นให้ดวงตา

มีสารสกัดจากธรรมชาติหลากหลายชนิดที่สามารถช่วยบำรุงสายตาได้ดี และยังช่วยลดอาการตาแห้งได้อีกด้วย เมื่อดวงตามีความชุ่มชื้นที่เหมาะสม ก็จะช่วยให้ใส่คอนแทคเลนส์ได้ดี ไม่มีอาการระคายเคือง

มีผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับโรคตาที่สัมพันธ์กับอายุ (Age-related eye diseases study) ของสถาบันจักษุแห่งชาติสหรัฐอเมริกา พบว่าการรับประทานสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี, วิตามินอี, เบต้าแคโรทีน, ลูทีน และซีแซนทีน ในปริมาณสูงเพียงพอ สามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมได้

คลิ้กเพื่อดูผลิตภัณฑ์บำรุงสายตา

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm

 


บร็อคโคลี่ และคุณสมบัติดีๆที่ไม่ควรมองข้าม

เชื่อว่าคนจำนวนไม่น้อยมักร้องยี๊!! เมื่อต้องรับประทานผักใบเขียวต่างๆ และผักสีเขียวยอดนิยมอีกหนึ่งอย่างก็คือ "บร็อคโคลี่" (Broccoli) ซึ่งเป็นผักในตระกูลกะหล่ำหรือคะน้าที่นิยมนำดอกอ่อนและก้านดอกมารับประทาน แต่รู้หรือไม่ว่า... การรับประทานบร็อคโคลี่แบบไหนจะได้ประโยชน์มากที่สุด และเราจะได้ประโยชน์อะไรบ้างจากการรับประทานผักชนิดนี้

บล็อคโคลี่ (Broccoli) อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายหลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินเอ วิตามินเค กรดโฟลิก โพแทสเซียม แคลเซียม กากใยอาหาร และยังเป็นผักที่มีโปรตีนค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับผักชนิดอื่นๆ โดยบร็อคโคลี่ 100 กรัมให้พลังงานประมาณ 34 กิโลแคลอรี

 

บร็อคโคลี่

ทานดิบๆจะได้ประโยชน์มากที่สุด

หากต้องการได้รับสารอาหารและประโยชน์มากที่สุดจากบร็อคโคลี่ สามารถทานดิบๆได้เลย แต่อย่าลืมว่าการรับประทานผักหรือผลไม้ทุกชนิดต้องล้างให้สะอาดก่อนนะคะ ส่วนใครที่ไม่ไหวจะทนกับการรับประทานผักดิบๆ สามารถนำไปผ่านการปรุงได้ แต่ต้องไม่ผ่านกรรมวิธีปรุงอาหารที่มีระยะเวลานานเกินไป

 

บร็อคโคลี่

ต้นอ่อนของ บร็อคโคลี่ ช่วยต่อต้านโรคมะเร็งได้

ต้นอ่อนของบร็อคโคลี่ เป็นส่วนหนึ่งที่หลายๆคนน่าจะชอบรับประทานกันอยู่ ไม่เพียงแต่ความอร่อยที่ได้รับ แต่ยังอุดมด้วยคุณประโยชน์มากมายที่คุณอาจยังไม่เคยรู้มาก่อน โดยต้นอ่อนของบร็อคโคลี่สามารถช่วยต่อต้านโรคมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

มีการนำพืชหลายชนิดมาทำการวิจัยเพื่อค้นหาสารสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อการต่อต้านโรคมะเร็ง ซึ่งแน่นอนว่าบร็อคโคลี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะจากการศึกษาพบว่าใบและลำต้นของ บร็อคโคลี่ มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ เช่น สารประกอบในกลุ่มฟีนอลิก ซึ่งอาจช่วยลดการอักเสบและความเสียหายของเซลล์ต่างๆที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ นอกจากนี้ ในบร็อคโคลี่ ยังมีสารอินโดล-3-คาร์บินอล ซึ่งนักวิจัยคาดว่าอาจช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้อีกด้วย

 

วิตามินซี

บร็อคโคลี่ มีวิตามินซีและแคลเซียมสูงมาก

ด้วยวิตามินซีที่สูงมาก สามารถช่วยต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มภูมิคุ้มกัน บำรุงผิวพรรณ ช่วยบำรุงและรักษาสายตา และยังสามารถป้องกันการเกิดต้อกระจกได้อีก้ดวย เรียกได้ว่า บล็อคโคลี่เป็นผักที่มีประโยชน์มากมาย และไม่ควรมองข้ามเลยนะคะ

คลิ้กเพื่ออ่าน >> วิตามินซีธรรมชาติ VS วิตามินซีสังเคราะห์

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


กระดูกพรุน ทำไมคนไทยมีความเสี่ยงมากกว่าชาติใดในโลก ?

รู้หรือไม่? อายุยิ่งมาก...ความหนาแน่นของมวลกระดูกยิ่งลด! ส่งผลให้เกิดโรค กระดูกพรุน

โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) คือ ภาวะที่กระดูกบางลง หักง่าย เมื่อได้รับอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อย โดยเฉพาะกระดูกสะโพก กระดูกต้นขา หรือหลังโค้งงอ เนื่องจากกระดูกสันหลังยุบตัวเข้าหากัน ซึ่งพบมากในสตรีวัยหมดประจำเดือนและสูงอายุ เพราะขาดฮอร์โมนในการสร้างกระดูก

3 เหตุผลที่คนไทยอาจมีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนมากกว่าชาติอื่นๆ

กระดูกพรุน

กรรมพันธุ์ กระดูกพรุน ที่มากับผิวขาวของสาวเอเชีย

ถึงแม้ว่าประเภทผิว และจำนวนเม็ดสีของสาวเอเชียจะสามารถเอื้อต่อการดูดซึมวิตามินดีมากกว่าเชื้อชาติที่มีผิวคล้ำตามธรรมชาติ แต่จากการสำรวจพบว่าชาวเอเชียและคอเคเชียนมักมีโอกาสเป็นโรคกระดูกพรุนมากกว่าชาวแอฟริกัน อเมริกัน โดยกรรมพันธุ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

วิตามินดี

หนีแดดเพราะกลัวดำ พฤติกรรมหลบวิตามินดี

แสงแดดเป็นเหมือนศัตรูตัวร้ายของสาวๆที่อยากมีผิวขาว ก็จะพยายพามหลบแดดกันให้มากที่สุด เพราะกลัวรังสี UVA/UVB จะเผาผิวสวยให้เสียไป แต่จริงๆแล้วแสงแดดนั้นมีประโยชน์ดีๆที่ส่งผลถึงกระดูกเชียวนะ! ในแสงแดดยามเช้ายังมีวิตามินดีที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต รวมถึงเสริมสร้างกระดูกและฟันอีกด้วย ดังนั้น หากร่างกายขาดวิตามินดีก็จะส่งผลกระทบต่อกระบวนการของกระดูกและฟันในร่างกายไปด้วย

นอกจากนี้วิตามินดียังมีหน้าที่สำคัญในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (Immune System) การที่สาวๆหลบแดดก็เหมือนการหลบวิตามินดีไปด้วยนั่นเอง แทนที่จะหลีกเลี่ยงแดดตลอดเวลา ลองออกมาสัมผัสแสงแดดอ่อนๆยามเช้า เลือกช่วงเวลาที่แดดอ่อนๆพอนะคะ

 

แคลเซียม

อาหารโซเดียมสูงแคลเซียมต่ำ ทำแคลเซียมสลาย

อีกพฤติกรรมที่มีผลกระทบต่อระบบร่างกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ "พฤติกรรมการรับประทาน" นั่นเอง ลองสังเกตพฤติกรรมการประทานอาหารของตัวคุณเองดูว่าชอบรับประทานอาหารแบบไหน ซึ่งอาหารจานโปรดของชาวไทยส่วนมากจะเป็นอาหารที่มีรสค่อนข้างจัด หนักเครื่องปรุง แม้จะมีผักหรือเนื้อสัตว์ที่ให้แคลเซียมอยู่บ้าง แต่ก็มีในปริมาณที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน สารอาหารที่มากับอาหารรสจัดมักจะเป็นโซเดียมปริมาณสูงซะมากกว่า ซึ่งนอกจากโซเดียมจะเป็นสาเหตุของโรคความดัน, ไตวาย, อัมพฤกษ์ อัมพาตแล้ว โซเดียมนี้จะกระตุ้นให้ไตขับแคลเซียมออกจากร่างกายทางเหงื่อและปัสสาวะ ทำให้นอกจากไม่ได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอแล้ว ยังต้องสูญเสียแคลเซียมออกไปอีกด้วย หากสามารถหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัด และทานนมจากถั่วเหลือง หรือแอลมอนด์เพิ่มเติมจากมื้ออาหาร ก็จะสามารถลดการสูญเสียแคลเซียมได้นะคะ และทางที่ดีนั้น ทุกเพศทุกวัยควรเลือกรับประทานอาหารที่มีโซเดียมไม่มาก และควรเป็นอาหารที่มีประโยชน์ เหมาะสมกับวัย เพื่อร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง และแน่นอนว่าย่อมส่งผลไปถึงกระบวนการของกระดูกและฟันอีกด้วย

ในทางกลับกันหากคุณต้องการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และช่วยลดโอกาสการเกิดโรคกระดูกพรุนได้ คุณต้องรับประทานอาหารที่มี "แคลเซียม" การจะเสริมแคลเซียมให้กับร่างกายต้องรู้ก่อนว่าเราจะพบแคลเซียมได้จากอาหารประเภทไหนบ้าง ซึ่งเราสามารถพบแคลเซียมได้ในน้ำนม น้ำส้ม ปลา บรอกโคลี ถั่วเปลือกแข็ง งา สาหร่ายทะเล แต่ต้องรับประทานในปริมาณที่มากพอถึงจะได้รับแคลเซียมที่เพียงพอในแต่ละวัน หรือง่ายกว่านั้นคือการเลือกรับประทานผลิตภัรฑ์เสริมอาหารที่มีแคลเซียมเป็นส่วนประกอบหลัก ก็สามารถช่วยให้ร่างกายได้รับแคลเซียมในปริมาณที่มากพอ ช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุนได้

ประมาณ 99% ของแคลเซียม ( คลิ้กเพื่ออ่านบทความเกี่ยวกับแคลเซียม ) ในร่างกายจะถูกนำไปใช้ในกระบวนการสร้างกระดูก ฟัน เล็บ และผม ทำให้กระดูกและฟันมีความหนาแน่นแข็งแกร่ง ส่วนแคลเซียมอีก 1% จะไหลเวียนอยู่ในเลือด ดังนั้น แคลเซียมจึงมีความสำคัญต่อร่างกายอย่างมาก และเป็นสารสำคัญในการช่วยลดโอกาสการเกิดโรคกระดูกพรุน

นอกจากนี้แคลเซียมในเลือดยังมีประโยชน์ต่อร่างกายในหลายๆด้าน เช่น

  • มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงานของมวลกล้ามเนื้อ
  • มีผลต่อสารสื่อประสาท
  • ป้องกันการไหลของเลือดเมื่อเกิดบาดแผล
  • มีผลต่อการเต้นของหัวใจ
  • ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้

ร่างกายจะเริ่มสะสมแคลเซียมในกระดูกตั้งแต่วัยเด็ก และจะสะสมมากที่สุดในช่วงวัยรุ่น ผู้หญิงจะมีแคลเซียมสูงถึง 90% เมื่ออายุ 18 ปี และผู้ชายในอายุ 20 ปี โดยทั้งสองเพศจะมีระดับแคลเซียมในร่างกายสูงสุดเมื่ออายุ 30 ปี หลังจากนี้จะไม่มีการสะสมแคลเซียมแล้ว หากร่างกายได้รับแคลเซียมจากอาหารไม่มากพอกระดูกจะเริ่มผุ หลังจากผู้หญิงหมดประจำเดือนแล้ว 5-7 ปี ผู้หญิงจะมีการสูญเสียความหนาแน่นของกระดูกประมาณ 3-5% ต่อปี ซึ่งอาจสูงถึง 20% ของมวลกระดูกทั้งหมด

 

กระดูกพรุน

อย่าปล่อยให้ภัยเงียบจาก กระดูกพรุน เกิดขึ้นกับตัวคุณแล้วค่อยรักษา

ความหนาแน่นของมวลกระดูกนั้นจะลดน้อยลงไปตามกาลอายุ เมื่ออายุมากขึ้น ประกอบกับพฤติกรรมการใช้ชีวิต และปัจจัยทางด้านฮอร์โมนต่างๆมักจะทำให้ความหนาแน่นของมวลกระดูกน้อยลงไปเรื่อยๆ ความต้องการของแคลเซียมเพิ่มขึ้นตามวัยโดยเฉพาะผู้สูงอายุ ดังนั้น การเสริมแคลเซียม ซึ่งช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ อย่าปล่อยให้รู้ตัวเมื่อสายเกินแก้ หมั่นเสริมแคลเซียมให้กับร่างกายในทุกๆวัน ด้วยการรับประทานอาหารที่ถูกต้องตามโภชนาการ ออกไปสัมผัสแสงแดดอ่อนๆบ้าง หรือเลือกวิธีที่ง่ายกว่านั้น คือการรับประทานแคลเซียมเป็นประจำก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยให้คุณห่างไกลจากโรคกระดูกพรุนได้นะคะ ทีนี้เรามาดูกันว่าร่างกายในแต่ละวัยมีความต้องการแคลเซียมแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

  • เด็ก (1-10 ปี) ควรได้รับแคลเซียมวันละ 800 มิลลิกรัม
  • วัยรุ่น (11-25 ปี) ควรได้รับแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลิกรัม
  • วัยผู้ใหญ่ (25 ปีขึ้นไป) ควรได้รับแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลิกรัม
  • สตรีมีครรภ์และให้นมบุตร ควรได้รับแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลิกรัม
  • ผู้ประสบอุบัติเหตุกระดูกหัก ควรได้รับแคลเซียมวันละ 1,500 มิลลิกรัม

ผู้หญิงและผู้ชายที่มีอายุระหว่าง 19-50 ปี ต้องการแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลิกรัม เมื่ออายุมากกว่า 50 ปี ต้องการ 1,200 มิลลิกรัม

ดังนั้น คนในแต่ละช่วงวัยควรเลือกการรรับประทานเพื่อเสริมแคลเซียมในปริมาณที่เหมาะสมกับช่วงวัยของตนเองด้วย จึงจะช่วยให้ร่างกายห่างไกลจากโรคกระดูกพรุนได้

 

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm


ผมบาง หรือไม่? แค่มีไม้บรรทัดก็วัดได้เลย!

ผมบาง หรือไม่? แค่มีไม้บรรทัดก็วัดได้เลย!

 

ผมบาง คงเป็นปัญหาหนักใจของทั้งผู้ชายและผู้หญิง ไม่ว่าจะผมทรงไหนๆความมั่นใจก็น้อยลงไปตามเส้นผมที่น้อยลงไปทุกวัน คุณอาจรู้สึกว่าในหนึ่งวันคุณมีปริมาณผมร่วงเยอะมาก แต่จริงๆแล้วการมีผมร่วงบ้างนั้นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเส้นผมและหนังศีรษะต้องมีการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวหนัง และเส้นผมที่เสื่อมสภาพแล้วก็ต้องผลัดเปลี่ยนด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นหากคุณมีผมร่วงบ้างยังนับว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าผมร่วงในปริมาณที่เยอะมากๆ อาจจะเป็นการฟ้องถึงการผิดปกติของร่างกายแล้วล่ะ และนั่นยังไม่น่ากังวลเท่ากับการที่ผมร่วงไปแล้วไม่ขึ้นมาอีก!! ถ้าเป็นอย่างนั้นคงไม่ดีแน่ๆ

แล้วคุณสงสัยหรือไม่ว่าผมที่ร่วงอยู่ทุกวันนี้มีปริมาณเยอะเกินไปจนทำให้คุณกลายเป็นคนผมบาง หรือมีความผิดปกติจนควรต้องกังวลใจกันแล้วหรือยัง ? บทความนี้เรามีวิธีเช็คอย่างง่ายๆว่าคุณเข้าข่ายผมบาง แล้วหรือยัง โดยใช้แค่อุปกรณ์หาง่าย ใกล้ตัวอย่างไม้บรรทัดหรือสายวัดมาฝากกันนะคะ

 

ถ้าพร้อมแล้ว... มาเริ่มกันเลย !

 

ผมบาง

แสกกว้างขนาดนี้ เข้าข่าย ผมบาง หรือยังนะ?

เริ่มด้วยปัญหาหนักใจของสาวๆ คือเวลาแสกผมแล้วเห็นได้ชัดว่าผมบาง จะทำให้เห็นหนังศีรษะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เพียงแค่คุณลองสังเกตดูว่าเมื่อแสกผมแล้วความบางของเส้นผมทำให้เห็นหนังศีรษะค่อนข้างชัดเจนจนมีความกว้างถึง 1 เซนติเมตรแล้วหรือยัง

ถ้าความบางของเส้นผมกระจายกว้างจนเริ่มเกินระยะ 1 เซนติเมตรแสดงว่าคุณกำลังเจอกับปัญหาเข้าแล้วล่ะ

เบื้องต้นง่ายๆ แน่นอนว่าคุณอาจต้องบำรุงดูแลเพื่อลดการหลุดร่วงของเส้นผมให้มากขึ้น อย่าลืม! การดูแลเพื่อลดปัญหาผมร่วงผมบาง ไม่ใช่แค่การดูแลเส้นผมที่สาวๆมักให้ความสำคัญกันเป็นหลัก แต่ต้องดูแลไปถึงบริเวณ "หนังศีรษะ" ด้วย เพราะหนังศีรษะเป็นส่วนสำคัญที่ยึดเส้นผมของเราไว้ เมื่อหนังศีรษะเกิดความสมดุล รูขุมขนเป็นปกติก็จะทำให้ยึดเส้นผมเอาไว้ได้ดีจนถึงเวลาอันควร แต่หากหนังศีรษะมันเกินไป มีการผลิตน้ำมันออกมามากจนเกินไป ทำให้รูขุมขนกว้าง โอกาสที่จะทำให้เส้มผมหลุดร่วงออกมาก่กอนถึงเวลาอันควรก็มีมากตามไปด้วย ทำให้เกิดการผมร่วง และผมบางในที่สุด แต่หากหนังศีรษะแห้งจนเกินไปจนเกิดอาการลอกเป็นรังแคก็อาจเป็นสาเหตุของผมที่หลุดร่วงจนผมบางได้เช่นกัน ดังนั้น การรักษาสภาพความสมดุลของหนังศีรษะก็สำคัญไม่แพ้การบำรุงเส้นผมเลยนะคะ

ที่ช่วยสาวๆได้ในระยะสั้นๆ คือการเปลี่ยนวิธีการแสกผมบาง เช่น ถ้าปกติแสกกลาง อาจลองเปลี่ยนมาแสกซ้ายหรือขวาดูบ้างก็ได้นะคะ

ส่วนคุณผู้ชายที่มักมีปัญหาผมบางในส่วนของหน้าผาก โดยแต่ละคนจะมีรูปทรงของผมบริเวณไม่เหมือนกัน อาจต้องสังเกตก่อนว่ารูปทรงผมของคุณนั้นเป็นแบบไหน ซึ่งสามารถแบ่งออกง่ายๆได้เป็น 2 ลักษณะตัว คือ

  1. ผมบางในรูปแบบตัว O
  2. ผมบางในรูปแบบตัว M

 

ผมน้อย

ผมบาง ในรูปแบบตัว O

คุณผู้ชายที่มีทรงผมในรูปแบบของตัว O คือ มีไรผมบริเวณหน้าผากเป็นส่วนโค้งคล้ายรูปครึ่งวงกลม สำหรับผู้ชายที่มีผมบริเวณด้านหน้าโค้งเป็นรูปตัว O นั้น หากมีระยะห่างจากบริเวณหัวคิ้วไปถึงไรผมด้านบนเกินกว่า 6 เซนติเมตร แสดงว่าปัญหาผมบางเริ่มมาเยือนคุณแล้วนั่นเอง

 

ผมบาง

ผมบาง ในรูปแบบตัว M

คุณผู้ชายบางคนอาจมีทรงผมด้านหน้าเป็นรูปตัว M สามารถวัดระยะห่างระหว่างบริเวณหัวคิ้วกับส่วนที่ลึกที่สุด หากมีระห่างมากกว่า 8 เซนติเมตร ก็ต้องหาวิธีดูแลปัญหาผมบางกันแล้วนะคะ

วิธีเบื้องต้นที่จะช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผมก็คือ การพิถีพิถันขึ้นอีกนิดกับการดูแลเส้นผมในทุกๆวัน

  • เลือกใช้แชมพูสระผมที่อ่อนโยนต่อเส้นผมและหนังศีรษะ และเหมาะกับสภาพเส้นผม
  • ใช้ครีมนวดผมเพื่อเป็นการปิดเกล็ดผม ช่วยให้เส้นผมมีสุขภาพดี
  • สระผมให้ถูกวิธี โดยการนวดที่ผมและหนังศีรษะอย่างเบามือ หลีกเลี่ยงการสระที่รุนแรงเพราะจะยิ่งทำให้ผมขาดร่วงได้ง่าย
  • หลีกเลี่ยงการสระผมด้วยน้ำอุ่น
  • หลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนกับเส้นผมบ่อยๆ
  • หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีที่รุนแรงต่อเส้นผมและหนังศีระษะ
  • ควรพักระยะห่างในการย้อมผม หรือการดัดผมด้วยสารเคมีพอสมควร
  • ไม่หวีผมหรือเช็ดผมอย่างรุนแรงในขณะที่ผมเปียก
  • หากใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม ต้องล้างออกให้สะอาดทุกครั้งเพื่อไม่ให้เกิดการอุดตันที่หนังศีรษะ
  • ไม่นอนทับเส้นผมในขณะที่ผมยังเปียก หลีกเลี่ยงโอกาสเสี่ยงในการเกิดเชื้อราบนหนังศีรษะ

 

ทีนี้เรามาดูต้นเหตุของปัญหาผมบางที่เกิดจากปัจจัยภายในกันบ้าง คุณเคยสงสัยมั้ยว่าทำไมปัญหาผมบางมักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง

คำตอบคือ เพราะต้นตอของปัญหาผมบางมาจากฮอร์โมนเพศชายที่ชื่อ "Dihydrotestosterone หรือ DHT" นั่นเอง ซึ่งจริงๆแล้วฮอร์โมนนี้พบได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง เพราะฉะนั้นทั้งผู้ชายและผู้หญิงต่างมีโอกาสที่จะพบปัญญาผมบางได้หากมี DHT อยู่มากเกินที่ผิวหนัง ฮอร์โมน DHT จะมีการกระตุ้นให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังใหญ่ขึ้น ผิวหนังรวมถึงบริเวณหนังศีรษะก็จะผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ส่งผลให้รูขุมขนกว้างขึ้น ประสิทธิภาพในการยึดเส้นผมอาจลดลง ทำให้เส้นผมหลุดร่วงได้ง่ายมากขึ้นนั่นเอง และเมื่อมีฝุ่นหรือสิ่งสกปรกมาจับกับน้ำมัน ก็อาจเกิดการอุดตันเป็นสิวอักเสบขึ้นมาได้อีกด้วย

ฮอร์โมน DHT ยังจับกับเซลล์สร้างเส้นผม และออกฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการสร้างเส้นผมปกติ ทำให้เส้นผมใหม่ที่ขึ้นมาทดแทนเส้นผมเดิมที่ร่วงไป มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ จนทำให้เกิดภาวะผมบาง และศีรษะล้านตามมาในที่สุด

 

ผมร่วง

 

"ผมบาง ไม่ต้องเครียด แค่บำรุงให้ถูกจุดด้วย Restiv"

Restiv ถูกพัฒนามาเพื่อช่วยลดปัญหาผมบางโดยเฉพาะ โดยการพยายามแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของผมบาง นั่นก็คือ การมีปริมาณฮอร์โมน DHT มากเกินไปทั้งในผู้ชายและผู้หญิง ดังนั้น Restiv จึงมาพร้อมสารออกฤทธิ์หลักสกัดจากธรรมชาติ คือ "PROCAPIL-N" ซึ่งประกอบด้วย

  1. Oleanolic acid ออกฤทธิ์ในการลดปริมาณฮอร์โมน DHT
  2. Apigenin ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบไหลเวียนโลหิต ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการหล่อเลี้ยงเส้นผม
  3. Biotinyl-GHK เป็นโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบการสร้างเส้นผมใหม่

ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ ทำให้ Restiv สามารถตอบโจทย์ปัญหาผมบางได้อย่างปลอดภัย และยังสามารถใช้ได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง เพราะมาในรูปแบบโฟมที่ใช้ง่าย ซึมไว ไม่เหนียวเหนอะหนะ

นอกจากฮอร์โมนแล้ว ยังมีอีกหลายปัจจัยที่อาจทำให้เกิดปัญหาผมร่วง ผมบางได้ เช่น

  • การใช้สารเคมีที่รุนแรงต่อเส้นผมและหนังศีรษะ
  • ผมร่วงและหนังศีรษะล้านจากกรรมพันธุ์
  • ความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย
  • การตั้งครรภ์และผมร่วงหลังคลอด
  • ภาวะความเจ็บปวดทางร่างกายและจิตใจ
  • การใช้ยาบางประเภทที่มีความเข้มข้นสูง เช่น วิตามินเอที่ใช้ในการรักษาสิวตามที่แพทย์สั่ง
  • การลดน้ำหนัก จนทำให้เกิดภาวะขาดสารอาหาร
  • อายุที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้การทำงานของเซลล์ต่างๆในร่างกายเสื่อมลง

จะเห็นได้ว่าภาวะการเกิดผมบางนั้นอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนั้น นอกจากการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับปัญหาแล้ว ยังควรรับประทานอาหารที่ถูกต้องตามโภชนาการและรักษาสุขภาพร่างกาย รวมถึงจิตใจให้แข็งแรงอยู่เสมอด้วยนะคะ

 

ติดตามเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ได้ที่   https://www.facebook.com/healthyclub.by.biopharm/

ปรึกษาปัญหาสุขภาพกับ Biopharm ทาง Line Official : @biopharm