Life Style
วิตามินเอ
เป็นวิตามินที่ละลายในไขมันและเก็บสะสมในตับ มี 2 รูปแบบคือ เรทินอล และเบต้าแคโรทีน พบมากในอาหารจำพวก ตับ น้ำมันตับปลา นม ไข่แดง มันเทศ แครอท ผักบุ้ง ฟักทอง มะเขือเทศ ข้าวโพด เป็นต้น
หน้าที่สำคัญ
- ต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant)
- เสริมสร้างเซลล์เพื่อใช้ในการเจริญเติบโต
- เสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟัน
- ช่วยให้ผิวมีสุขภาพดี
- บำรุงสายตา
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกันและเร่งการซ่อมแซมบาดแผล
- เสริมสร้างระบบสืบพันธุ์
อาการเมื่อขาด : ตาบอดกลางคืน, ผิวแห้ง ตกสะเก็ด, เป็นหวัดบ่อย, ติดเชื้อง่าย
ปริมาณที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่ : 800 ไมโครกรัม
ข้อควรระวัง
วิตามินเอในรูปเรทินอลสามารถทำให้เกิดความผิดปกติกับทารกในครรภ์ ส่วนวิตามินในรูปเบต้าแคโรทีน หากมีปริมาณมากจะทำให้ผิวเหลือง แต่จะกลับมาเหมือนเดิมได้หากหยุดรับประทาน
การได้รับวิตามินเอในปริมาณสูงอาจเกิดการสะสมในร่างกายและเป็นพิษได้ใน 2 ลักษณะ คือ
รู้หรือไม่ว่า? ผู้ที่ได้รับแคโรทีนในปริมาณสูง จะทำให้ผิวหนังบริเวณร่องจมูก ฝ่ามือและฝ่าเท้ามีสีเหลือง เนื่องจากแคโรทีนถูกขับออกมาจากต่อมน้ำมันของผิวหนัง ต่างจากโรคดีซ่านคือตาจะไม่เหลือง อาการดังกล่าวจะหายไป เมื่องดบริโภคอาหารที่มีแคโรทีนสูง
วิตามินบี 1 (ไทอะมีน)
เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำได้ดี สามารถขับออกจากร่างกายได้ง่าย พบได้มากในอาหารจำพวกเนื้อหมู ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ถั่วเมล็ดแห้ง งา ไข่แดง และอื่น ๆ
หน้าที่ของวิตามินบี 1
- ป้องกันโรคเหน็บชา อาการชาตามปลายนิ้วมือนิ้วเท้า
- เร่งการเผาผลาญอาหารให้ได้พลังงาน
- เสริมประสิทธิภาพของระบบประสาทและสมอง
- เสริมสร้างการเม็ดเลือดแดง
- เสริมสร้างกระบวนการย่อยอาหาร
- เพิ่มความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า
อาการเมื่อขาด: อ่อนแรงและปวดกล้ามเนื้อ, เหน็บชา, บวมน้ำ, ปวดศรีษะ
ปริมาณที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่ : 1.4 มิลลิกรัม
ข้อควรระวัง
การได้รับวิตามินบี 1 ปริมาณมากเกินไป อาจรบกวนการรับวิตามินบี ชนิดอื่นๆ ได้ หรือถ้ามากเกิน 3 มิลลิกรัมต่อวัน อาจทำให้ชีพจรเต้นเร็ว นอนไม่หลับ
อาการเป็นพิษ: สำหรับวิตามินบี 1 ซึ่งเป็นวิตามินที่มีคุณสมบัติในการละลายน้ำ ดังนั้นเมื่อไรก็ตามที่มีปริมาณมากเกินไป ร่างกายก็สามารถที่จะกำจัดออกมาได้ในรูปแบบของการปัสสาวะ
วิตามินบี 2 (ไรโบฟลาวิน)
ร่างกายต้องการวิตามินบี 2 เพื่อทำงานร่วมกับเอนไซม์ ในกระบวนการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันให้ได้พลังงาน วิตามินบี 2 ถูกทำลายได้ง่ายด้วยแสงแดด จึงพบการขาดได้บ่อยครั้ง แหล่งที่พบยีสต์สกัด, ธัญพืชไม่ขัดขาว, ตับ, เนยแข็ง, นม, ผักใบเขียว
หน้าที่ของวิตามินบี 2
- บำรุงผิว ผมและเล็บ
- ช่วยในการมองเห็น
- เร่งกระบวนการเผาผลาญอาหารให้เกิดพลังงาน
- เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
- กระตุ้นภูมิคุ้มกัน
อาการเมื่อขาด: ระคายเคืองตาและตาไม่สู้แสง, ผิวหนังอักเสบ, แผลร้อนใน, ปากนกกระจอก, เวียนศีรษะ, ผมร่วง
ปริมาณที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่: 1.6 มิลลิกรัม
อาการเป็นพิษ: สำหรับวิตามินบี 2 ซึ่งเป็นวิตามินที่มีคุณสมบัติในการละลายน้ำ ดังนั้นเมื่อไรก็ตามที่มีปริมาณมากเกินไป ร่างกายก็สามารถที่จะกำจัดออกมาได้ในรูปแบบของการปัสสาวะ
วิตามินบี 5 (กรดแพนโททินิก)
เป็นสารอาหารอีกชนิดในกลุ่มของวิตามินบีรวม พบได้ในอาหารหลายชนิดเช่น ไข่ ถั่ว เนื้อสัตว์ ตับ ไต หัวใจ ผักสีเขียว อย่างไรก็ตามวิตามินชนิดนี้มักสูญเสียสภาพได้ง่ายในกระบวนการปรุงและเก็บอาหาร จึงทำให้คนส่วนใหญ่มีโอกาสที่จะพบการขาดวิตามินชนิดนี้ได้บ่อย
หน้าที่ของวิตามินบี 5
- เผาผลาญอาหารให้ได้พลังงาน
- กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
- ช่วยในกระบวนการรักษาแผล
- กระบวนการสร้างเซลล์
- บำรุงผิวและเส้นผม
- ลดความเครียด
อาการเมื่อขาด: อ่อนเพลีย, อาการเหน็บชาตามแขนขาและเท้า, กล้ามเนื้อหด เกร็ง สั่น และเป็นตะคริว, ปวดศีรษะ, ไม่อยากอาหาร
ปริมาณที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่ : 6 มิลลิกรัม
ข้อควรระวัง
การได้รับวิตามินบี 5 ปริมาณมากเกินไป อาจส่งผลเกี่ยวกับกระเพาะอาหารและท้องเสีย
วิตามินบี 3 (ไนอะซิน)
ร่างกายสามารสังเคราะห์วิตามินบี 3 ได้เองโดยใช้กรดอะมิโนทริปโตแฟน จัดเป็นวิตามินที่ละลายน้ำอีกประเภทหนึ่ง แหล่งที่พบได้แก่ ปลา เนื้อไม่ติดมัน ตับ จมูกข้าสาลี ไข่ ถั่ว เป็นต้น
หน้าที่ของวิตามินบี 3
- ช่วยให้มีสุขภาพจิตดี
- ช่วยในการเผาผลาญอาหาร
- ช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่ปกติ
- จำเป็นต่อการทำงานของหัวใจและการไหลเวียนโลหิต
- ช่วยรักษาสุขภาพผิว
- ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดและระดับคอเลสเตอรอล
อาการเมื่อขาด: ความจำไม่ดี, เศร้าซึม, ปวดศีรษะ, เบื่ออาหาร, คลื่นไส้, มีแผลเรื้อรังในปาก
ปริมาณที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่ : 18 มิลลิกรัม
ข้อควรระวัง
การได้รับวิตามินบี 3 ในปริมาณมากเกินไปอาจส่งผลต่อตับ เกิดอาการร้อนวูบวาบและปวดศีรษะได้ นอกจากนี้ยังพบว่า วิตามินบี 3 จะมีผลต่อการควบคุมระดับกรดยูริกอีกด้วย รวมถึงอาจทำให้มีปัญหาในเรื่องของการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในภาวะปกติอีกด้วย
วิตามินบี 6 (ไพริด็อกซิน)
จัดอยู่ในกลุ่มวิตามินที่ละลายน้ำ ร่างกายนำไปใช้ได้คือรูปของ ไพริด็อกซิน ร่างกายเป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นในการสร้างแอนติบอดีและเม็ดเลือดแดง แหล่งที่พบได้แก่ จมูกข้าวสาลี ผักใบเขียว กะหล่ำปลี รำข้าว ไข่ ข้าวโอ๊ต ปลา
หน้าที่ของวิตามินบี 6
- เร่งกระบวนการเผาผลาญอาหารให้เกิดพลังงาน
- ช่วยให้ระบบภูมิคุมกันแข็งแรง
- รักษาสมดุลฮอร์โมนเพศและลดอาการก่อนมีประจำเดือน
- ช่วยให้อารมณ์ดี
- เป็นยาขับปัสสาวะตามธรรมชาติ
- นอกจากนี้จากการศึกษายังพบว่า วิตามินบี 6 จะทำงานร่วมกับกรดโฟลิกในการลดระดับกรดอะมิโนที่ชื่อ โฮโมซิสเทอีน ในกระแสเลือด ดังนั้นจึงช่วยให้สามารถลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
อาการเมื่อขาด : บวมน้ำ, วิตกกังวล หงุดหงิดง่าย, กล้ามเนื้อหดเกร็งและเป็นตะคริว, โลหิตจาง, ผิวแห้งและแตกเป็นสะเก็ด
ปริมาณที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่
2 มิลลิกรัม
ข้อควรระวัง
การได้รับวิตามินบี 6 ปริมาณสูงเป็นเวลานาน อาจมีผลต่อระบบประสาท และผู้ป่วยโรคพาร์กินสันที่ใช้ยาเลโวโดปา เพื่อรักษาโรคพาร์กินสัน ไม่ควรเสริมวิตามินบี 6
วิตามินบี 12 (โคบาลามิน)
เป็นวิตามินชนิดที่ละลายน้ำ จำเป็นสำหรับการทำงานของระบบประสาท การเจริญเติบโตในวัยเด็ก และควบคุมความอยากอาหาร ผู้รับประทานมังสวิรัติมีแนวโน้มขาดวิตามินชนิดนี้ เพราะวิตามินชนิดนี้จะพบในสัตว์เท่านั้น แหล่งอาหารที่สำคัญได้แก่ ตับ เนื้อหมู เนื้อวัว ไข่ นม ชีส ปลา
หน้าที่ของวิตามินบี 12
- เสริมสร้างการเจริญเติบโต
- บำรุงระบบประสาท
- สร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันโรคโลหิตจาง
- เพิ่มพละกำลัง
- ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยการไปปรับระดับของโฮโมซีสเทอีนในกระแสเลือด
อาการเมื่อขาด: โลหิตจาง, สภาพเส้นผมไม่แข็งแรง, อ่อนเพลีย, ผิวหนังอักเสบ, กล้ามเนื้อเจ็บตึง, และโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท
ปริมาณที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่: 1 ไมโครกรัม
ไบโอติน (Biotin)
ไบโอติน มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า วิตามินเอช (Vitamin H) จัดอยู่ในกลุ่มวิตามินบีที่ละลายน้ำ ทำงานร่วมกับวิตามินบีอื่นๆ ในกระบวนเผาผลาญอาหารให้ได้พลังงาน โดยเฉพาะอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต แหล่งอาหารที่สำคัญได้แก่ ไข่แดง
หน้าที่ของไบโอติน
- บำรุงผมและผิว
- ลดอาการผิวหนังอักเสบ
- อาจช่วยควบคุมน้ำหนัก
อาการเมื่อขาด : ผมร่วงเป็นกระจุก, ผมหงอก, เล็บเปราะแตกหักง่าย, ผิวหนังเป็นสะเก็ด
ปริมาณที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่ : 2 ไมโครกรัม
อาการขาด: โดยปกติแล้วอาการขาดสารไบโอตินในมนุษย์พบได้น้อยมาก เนื่องจากร่างกายสามารถได้รับไบโอตินจากแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ (Normal Flora) อย่างไรก็ตามมีข้อยกเว้นสำหรับบุคคลบางกลุ่มได้แก่ ผู้ที่รับประทานไข่ขาวและไข่ดิบติดต่อกันนานๆ, ผู่ที่รับประทานยาฆ่าเชื้อเป็นประจำ
กรดโฟลิก (Folic Acid)
โฟลิกจัดอยู่ในกลุ่มวิตามินบีรวม ซึ่งทำงานร่วมกับวิตามินบีอื่นๆ โดยเฉพาะวิตาบินบี 12 แหล่งอาหารที่พบมากได้แก่ ผักที่มีใบสีเขียวเข้ม ตับ ฟักทอง ไข่แดง จมูกข้าวสาลี อะโวคาโด กรดโฟลิกจะถูกทำลายได้ง่ายโดยความร้อนสูงและแสงสว่าง
หน้าที่ของกรดโฟลิก
- ป้องกันความผิดปกติของทารกในครรภ์
- จำเป็นต่อการแบ่งตัวของเซลล์
- สังเคราะห์และซ่อมแซมสารพันธุกรรม DNA
- สำคัญต่อกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันโรคโลหิตจาง
- ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ
อาการเมื่อขาด: โลหิตจาง, ริมฝีปากแตก, ซึมเศร้า, อ่อนเพลีย, เบื่ออาหาร, ผิวซีด, ผิวหนังอักเสบ, ความจำเสื่อม
ปริมาณที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่: 200 ไมโครกรัม
ข้อควรระวัง
เมื่อได้รับในปริมาณสูงอาจเป็นพิษ ทำให้นอนไม่หลับและรบกวนการดูดซึมสังกะสี ผู้ป่วยโรคลมชักจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ก่อนเสริมวิตามินชนิดนี้ เพราะจะรบกวนการออกฤทธิ์ของยารักษาโรคดังกล่าว
วิตามินซี (Vitamin C)
วิตามินซี หรือมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า กรดแอสคอร์บิก (Ascorbic Acid) เป็นวิตามินที่ละลายได้น้ำ มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ พบมากในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวเช่น อะเซโรล่า เชอร์รี่, ส้ม, มะนาว, ฝรั่ง, ผักใบเขียว, ดอกกะหล่ำ, ถูกทำลายง่ายโดยความร้อนและแสง
หน้าที่ของวิตามินซี
- เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
- บำรุงผิว
- เสริมสร้างคอลลาเจนเพื่อเชื่อมโครงสร้างและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน
- ป้องกันการติดเชื้อ
- ต่อต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant)
อาการเมื่อขาด : เลือดออกตามไรฟัน, เกิดรอยฟกช้ำไดง่าย, เป็นหวัดและติดเชื้อบ่อย, เลือดกำเดาไหลบ่อย
ปริมาณที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่ : 60 มิลลิกรัม
ข้อควรระวัง : เมื่อได้รับในปริมาณสูงอาจทำให้ท้องเสืย และสำหรับผู้ที่มีแนวโน้มเป็นก้อนนิ่วในไต ไม่ควรได้รับวิตามินซีในปริมาณสูงเกินกว่า 3,000 มิลลิกรัมต่อวัน อย่างไรก็ตามหากได้รับวิตามินซีในปริมาณที่สูงหรือมากเกินความจำเป็นก็จะถูกขับออกทางปัสสาวะหรือทางอื่นๆจากร่างกายเรา แต่ถ้าหากร่างกายได้รับมากเกินขนาด ในบางรายก็อาจมีอาการ คลื่นไส้อาเจียน ปัสสาวะเป็นสีเข้ม ถ่ายเหลว แต่ไม่ได้รุนแรงอะไร เพราะวิตามินซีเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ จะถูกขับออกไปในที่สุด
วิตามิน ดี (Vitamin D)
วิตามินดีหรืออีกชื่อ เรียกว่า แคลซิเฟอร์รอล ร่างกายสามารถได้รับจากอาหารและแสงแดด อยู่ในกลุ่มวิตามินที่ละลายในไขมัน ทำหน้าที่ควบคุมการดูดซึมแคลเซียม มีความจำเป็นต่อความแข็งแรงของกระดูกและฟัน แหล่งอาหารที่พบได้บ่อย ได้แก่ น้ำมันตับปลา ปลาทะเล นมและผลิตภัณฑ์จากนม
หน้าที่ของวิตามินดี
- เสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
- ป้องกันโรคกระดูกอ่อนในเด็ก
- ควบคุมการดูดซึมแคลเซียม
- ช่วยในการดูดซึมวิตามินเอ
อาการเมื่อขาด
- การเจริญเติบโตช้า
- ปวดหลัง
- ฟันผุ
- กระดูกเปราะและปวดกระดูก
- กล้ามเนื้อ่อนแรง
ปริมาณที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่ : 200 IU
ข้อควรระวัง
เมื่อได้รับในปริมาณสูง อาจทำให้เกิดการสะสมและมีอาการข้างเคียง เช่น อาเจียน ปวดศีระษะ ท้องเสีย เศร้าซึม หากรับประทาน 20,000 ไอยูต่อวันอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดพิษได้
วิตามิน อี (Vitamin E)
วิตามินอี (โทโคเฟอรอล หรือโทโคไตรอีนอล) จัดอยู่ในกลุ่มวิตามินที่ละลายในไขมัน ถูกเก็บสะสมที่ตับ เนื้อเยื่อไขมัน หัวใจ กล้ามเนื้อ แต่จะสะสมในร่างกายในระยะเวลาสั้นๆ โดยปกติแล้ววิตามิน อี จะมีอยู่ในรูปแบบธรรมชาติกลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ โทโคเฟอรอลและโทโคไตรอีนอล ซึ่งโทรโคเฟอรอลแบ่งออกเป็น 4 ชนิดได้แก่ แอลฟา เบต้า แกมมา และเดลตา ซึ่งชนิดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดได้แก่ แอลฟา–โทโคเฟอรอล แหล่งที่พบมากได้แก่ จมูกข้าวสาลี ถั่วเหลือง น้ำมันพืช ถั่ว กะหล่ำ ผักใบเขียว ขนมปังโฮลวีท มันเทศ ปวยเล้ง อะโวคาโด
หน้าที่ของวิตามินอี
- เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant)
- ช่วยให้ผิวมีสุขภาพดี (เพิ่มความชุ่มชื้น)
- ป้องกันกระบวนการเสื่อมสภาพของเซลล์
- ลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็ง
- จำเป็นต่อการมีบุตร
- ช่วยบรรเทาอาการในสตรีวัยหมดประจำเดือน
- ดูแลสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด
อาการเมื่อขาด: ฟกช้ำได้ง่าย, แผลหายช้า, ความต้องการทางเพศลดลง, เหนื่อยล้ามากหลังออกกำลังกาย, เส้นเลือดดำขอด, เป็นหมัน
ปริมาณที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่ : 15 IU
ข้อควรระวัง : หากใช้ยาที่เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือดหรือมีภาวะเบาหวาน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสริมวิตามินอีตามินอี
โคลีน
จัดอยู่ในกลุ่มวิตามินบีรวม และเป็นสารที่ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย จำเป็นต่อการสลายไขมัน และการทำงานของสมอง ช่วยในการกระจายตัวของคอเลสเตอรอล ไม่ให้คอเลสเตอรอลเกาะที่ผนังเส้นเลือดแดงหรือผนังของถุงน้ำดี แหล่งที่พบได้แก่ ไข่แดง สมอง หัวใจ ถั่วลิสง ขนมปังโฮลวีท
หน้าที่ของโคลีน
- ลดระดับคอเลสเตอรอล
- ส่งเสริมการทำงานของสมองและระบบประสาท
- กระตุ้นความจำและสมาธิ
- คงสภาพระบบประสาทให้ปกติ
- ป้องกันและลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์
อาการเมื่อขาด : ความจำเสื่อม, โรคเกี่ยวกับประสาท, ความดันโลหิตสูง, อาจส่งผลให้เกิดโรคตับแข็งหรือไขมันสะสมที่ตับ, อัลไซเมอร์
ปริมาณที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่: 500-900 มิลลิกรัม/วัน
ข้อควรระวัง
เมื่อได้รับในปริมาณสูงมากเป็นประจำ อาจทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้
โคเอ็นไซม์คิวเทน (CoQ 10)
โคเอ็นไซม์คิวเท็น หรือ โคคิวเท็น หรือ ยูบิควินโนน เป็นชื่อของสารอาหารชนิดเดียวกัน โคเอ็นไซม์คิวเท็นจัดเป็นสารชีวภาพสำคัญที่พบในทุกเซลล์ของร่างกาย ซึ่งโดยปกติร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เองจากกรดอะมิโนไทโรซีน (Tyrosine) ร่วมกับวิตามิน 8 ชนิดและแร่ธาตุอีกจำนวนหนึ่ง แต่หลังจากอายุ 20 ปี ปริมาณการสร้างโคเอ็นไซม์คิวเท็นก็จะลดลงต่ำกว่าระดับที่ร่างกายต้องการ
คุณสมบัติที่สำคัญของโคเอ็นไซม์คิวเท็นคือ การเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ซึ่งเป็นผลมาจากโครงสร้างทางเคมีที่มีลักษณะเด่นในการจับกับอนุมูลอิสระในกระแสเลือด นอกจากนี้คุณสมบัติที่สำคัญอีกประการของโคเอ็นไซม์คิวเท็นก็คือ สำคัญต่อกระบวนการสร้างพลังงานให้กับเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย
แหล่งที่พบโคเอ็นไซม์คิวเท็น ในอาหาร เช่น เนื้อวัว ตับ ไต หัวใจ ปลาซาร์ดีน ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ไข่ ผักขม ถั่วลิสง น้ำมันถั่วเหลือง เมล็ดงา
หน้าที่ของโคเอ็นไซม์คิวเท็น
- เป็นแหล่งพลังงานระดับเซลล์ที่สำคัญ ช่วยสร้างพลังงานให้กับเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจและสมอง
- เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิว
- ซ่อมแซมผิวที่เสื่อมสภาพ ชะลอริ้วรอยก่อนวัย
- เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
- เหมาะสำหรับผู้ที่รับประทานยาลดไขมันในเลือดกลุ่มสเตติน (Statins) เนื่องจากการใช้ยาดังกล่าวมีผลยับยั้งการสร้างโคเอนไซม์ คิวเทนในร่างกายไปด้วย ซึ่งทำให้ปริมาณโคเอนไซม์ คิวเทนในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว
โคเอ็นไซม์คิวเท็นและประโยชน์ต่อร่างกาย
สุขภาพหัวใจ : โคเอ็นไซม์คิวเท็นจะเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อหัวใจ และอาจมีประโยชน์ช่วยลดความดันโลหิต ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
โรคเหงือก : การรับประทานโคเอ็นไซม์คิวเท็นในขนาด 60 มิลลิกรัมต่อวัน สามารถช่วยลดการอักเสบทุกชนิดที่เกิดจากโรคเหงือก
ชะลอความแก่ : เนื่องจากทุกเซลล์ของร่างกายต้องการพลังงานเป็นองค์ประกอบที่จะให้เซลล์ขับเคลื่อนได้ ดังนั้นหากเซลล์ได้รับพลังงานที่แจกจ่ายโดยโคเอ็นไซม์คิวเท็นครบถ้วน ก็จะทำให้เซลล์ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
อาการเมื่อร่างกายขาดโคเอนไซม์ คิวเทน
มีอาการใจสั่น หัวใจเต้นแรงผิดจังหวะ ชีพจรเร็ว เหนื่อยล้าอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง วิงเวียนศีรษะ หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก ชาปลายมือ ปลายเท้า
ปริมาณที่แนะนำ
50 – 100 มก.ต่อวันสำหรับบำรุงผิว
100 – 300 มก.ต่อวันสำหรับบำรุงกล้ามเนื้อหัวใจ
สารสกัดจากเมล็ดองุ่น (Grape Seed extract)
ตั้งแต่อดีตคนโบราณไม่เพียงแต่ใช้องุ่นเพื่อการรับประทานและการดื่มเท่านั้นแต่ยังมีการนำเอาองุ่นไปทำเป็นยาอีกด้วย หลายส่วนของต้นองุ่นได้ถูกนำไปใช้สำหรับทำเป็นยาหรือสมุนไพร จนกระทั่งในปี ค.ศ.1970 นักชีวเคมีชาวฝรั่งเศสได้นำเอาเมล็ดองุ่นไปทำการสกัดและในที่สุดได้พบสารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมากชื่อว่า “โอลิโกเมอริก โปรแอนโธไซยานิดินส์ (Oligomeric Proanthocyanidins) หรือ OPCs”
OPCs คืออะไร
OPCs เป็นสารสำคัญอีกชนิดหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มของไบโอฟลาโวนอยด์ มีคุณสมบัติที่สำคัญในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง และละลายน้ำได้ดี ดังนั้นจึงมีประสิทธิภาพมากในการปกป้องเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายจากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ รวมถึงมีประสิทธิภาพในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินซีถึง 20 เท่า และมากกว่าวิตามินอีถึง 50 เท่า
หน้าที่ของสารสกัดเมล็ดองุ่น
1. หัวใจและหลอดเลือด
- ยับยั้งการเกาะตัวของคอเลสเตอรอลที่ผนังหลอดเลือด จึงป้องกันหลอดเลือดอุดตัน
- เพิ่มความสามารถในการไหลเวียนของโลหิต
- ส่งเสริมให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง ไม่เปราะหรือแตกหักง่าย เนื่องจาก OPCs สามารถรวมตัวกับคอลลาเจนของผนังหลอดเลือดได้ดี จึงป้องกันอนุมูลอิสระที่จะมาทำลายเซลล์ผนังหลอดเลือด ช่วยบรรเทาอาการเส้นเลือดขอดหรือโป่งพองได้
2. ดวงตา – ป้องกันการเสื่อมของดวงตา ต้อกระจก ช่วยให้สายตาปรับการมองเห็นในที่มืดได้ดี
3. ภูมิแพ้ – ลดอาการภูมิแพ้ OPC มีคุณสมบัติในการต้านสารฮีสตามีน จึงช่วยลดอาการภูมิแพ้ หอบหืด
4. สมอง – ป้องกันโรคสมองเสื่อมหรือ อัลไซน์เมอร์ โดยที่ OPCs จะเข้าไปขัดขวางการทำลายเซลล์สมองจากอนุมูลอิสระ
5. ผิว – ช่วยลดริ้วรอย ฝ้าและกระให้จางลง โดย OPCs จะช่วยต้านอนุมูลอิสระที่จะมาทำลายคอลลาเจนอิลาสตินและการผลิตเม็ดสี อันเป็นสาเหตุทำให้ผิวเสื่อมสภาพ และเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร
ข้อควรระวัง : ไม่แนะนำสำหรับผู้ที่มีภาวะเลือดแข็งตัวช้าหรือใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด และควรหยุดการรับประทานอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ก่อนและหลังการผ่าตัดหรือทำฟัน